สุขได้ เริ่มที่ใจตัวเอง
(หนึ่งในบทความในหนังสือ เริ่มต้นที่ดินดี ของภัคพล มหัตกุล)
มีน้อยครั้ง ที่ผมอ่านหนังสือจบเล่ม ภายในวันเดียว
ส่วนใหญ่จะอ่านแบบค้างคาตามอารมณ์และตามรสชาติของกาแฟ ที่จิบขณะอ่านหนังสือ
ผมมักจะดองหนังสือเอาไว้ เพื่อให้ได้รสชาติน้องๆ กิมจิ
แล้วค่อยหยิบอ่านใหม่
หนึ่งในน้อยเล่มของหนังสือที่ผมอ่านจบภายในวันเดียวคือ “กฎแห่งกระจก” ของ โยชิโนริ โนจุงิ อาจเป็นเพราะเป็นเล่มบาง ๆ จึงจบอย่างรวดเร็ว
“กฎแห่งกระจก” เป็นหนังสือ how-to ของญี่ปุ่น ที่ขายดีติดอันดับ Best seller เชียว
และเปลี่ยนปกมาไม่รู้กี่สีแล้ว พิมพ์ซ้ำไม่รู้กี่ครั้ง
และเปลี่ยนปกมาไม่รู้กี่สีแล้ว พิมพ์ซ้ำไม่รู้กี่ครั้ง
ผมได้หนังสือนี้ ตอนไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๔
ที่จริงไม่ได้ตั้งใจซื้อหรอก แต่ซื้อตามโปรโมชั่นและคำโฆษณาของคนขาย
คนขายบอกว่าหนังสือทุกเล่มลด ๑๕% แต่ถ้าซื้อสี่เล่ม ลด ๒๐%
ครับ...ด้วยความงกโดยตั้งใจ จึงเลือกหยิบเล่มนี้เป็นเล่มที่สี่
พอดิบพอดีกับคำท้าทายของคนขายว่า
ถ้าจะอ่าน “กฎแหงกระจก” ให้เตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ด้วย...เพราะเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้อ่าน อ่านแล้วจะร้องไห้
จึงอยากลองดูสิว่า ผู้ชายพุงสามศกอย่างผม จะร้องไห้เพราะหนังสือเล่มเล็ก ๆ ได้ยังไง
อยากรู้ไหมว่าผมร้องไห้หรือเปล่า ไม่บอกดีกว่าครับ เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น
เวลาที่เกิดปัญหากับชีวิตอันแสนโสภาของคุณ
คุณมักจะโทษใคร
บ่อยครั้งที่เรามักโทษปัจจัยภายนอก
และมักจะคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกกระทำเสมอ
แต่เมื่อคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้
คุณจะพบว่า แท้จริงแล้ว “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต มีต้นเหตุมาจากตัวเราทั้งสิ้น”
ในหนังสือผู้เขียนได้นำเสนอกฎแห่งกระจก
กฎนี้มีหลักการง่าย ๆ อยู่ว่า
“ชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง”
ในหนังสือมีเรื่องเล่าอยู่แค่เรื่องเดียว มีความยาวเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ เป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมขอเล่าคร่าว ๆ ละกัน
เอโกะ (ชื่อสมมติ ที่ใช้แทนบุคคลจากสถานการณ์จริง)
เธอมีปัญหากับลูกชาย และกับสามี
แต่เธอไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
ลูกชายเธอมีเรื่องที่โรงเรียนเป็นประจำ แต่ไม่เคยเล่าหรือปรึกษาเธอ
เธอกลุ้มใจและเป็นกังวลตลอดเวลา
ที่สุดเธอได้พบจิตแพทย์คนหนึ่ง เขาแนะนำเธอ โดยใช้กฎแห่งกระจก แบบที่เธอไม่รู้ตัวว่านั่นคือ ขึ้นตอนของกฎแห่งกระจก
เธอทำตามที่จิตแพทย์คนนั้นสั่งทุกขั้นตอน โดยเริ่มจากการสำรวจความขัดแย้งและปัญหากับบุคคลใกล้ชิด ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
เธอพบว่าสมัยเธอเป็นวัยรุ่น เธอมีเรื่องกับพ่อ เธอคิดว่าพ่อไม่เข้าใจเธอ ไม่รักเธอ ฯลฯ
ที่สุดจิตแพทย์คนนั้น ได้ให้เธอเป็นคนคลายปมนั้นด้วยตัวเธอเอง
และเธอก็สามารถทำได้
เธอเริ่มทำวิธีเดียวกันกับสามี และเธอก็ทำได้อีก
หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของเธอกับลูกชาย กลับดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ลูกชายเธอเริ่มเล่าเรื่องต่าง ๆ ที่โรงเรียนให้ฟัง
และความสัมพันธ์ของลูกชายกับเพื่อนของเขาก็ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจเช่นเดียวกัน เป็นเหมือนลูกโซ่ที่มีผลกระทบต่อเนื่องกัน
เมื่ออ่านจบ
ผมพบว่า ได้เวลาที่ผมต้องเริ่มสำรวจจิตใจตัวเองแล้วละ
ผมอ่านไป คิดไป
และตรวจดูหัวใจของผมเป็นระยะ ๆ
ว่ามีส่วนคล้ายกับเอโกะหรือไม่
และมีเรื่องอะไรที่ยังค้างคาใจผมอยู่หรือเปล่า
และถ้าแก้ปมในจิตใจได้
ปัญหาในชีวิตเราจะดีขึ้นจริงหรือเปล่า
ไม่สำคัญว่า “กฎแห่งกระจก” จะใช้แก้ปัญหาในชีวิตของเราได้ทุกเรื่องหรือไม่
สำคัญอยู่ที่หลักปฏิบัติของกฎ
คือ ต้องรู้จักให้อภัย และรู้จักขอบคุณบุคคลใกล้ตัว
ตราบใดที่ยังมีอะไรค้างคาอยู่ในใจ
หัวใจมีแผลเป็น อาจเป็นปมที่เราไม่รู้ตัว
และสิ่งนั้นอาจจะสะท้อนออกมาในชีวิตคุณ
โยชิโนริ บอกว่า
นอกจากคนเราจะไม่ยอมรับปัญหาเดิม ๆ ที่ยังไม่ได้รับการสะสางแล้ว
ยังคิดว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ต้นเหตุแห่งปัญหา จึงมัวแต่สนใจแก้ไขที่ปลายเหตุ
ทั้งที่เหตุการณ์ทั้งหมดในชีวิตที่เกิดขึ้น
เป็นภาพสะท้อนออกมาจากจิตใจของเราเอง
ดังนั้น ถ้าจะแก้ไขปัญหาต้องแก้ที่ภายในก่อนเสมอ
อย่าไปมองที่ใจคนอื่น ยิ่งโทษคนอื่น ใจยิ่งไม่เป็นสุข
พระเยซูเจ้าทรงสอนเรื่องการมองคนอื่นว่า
“ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง
แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย
ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า
‘ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’
ความบกพร่องของคนอื่นใหญ่เท่าภูเขา ความผิดของเราเล็กเท่าเส้นผม
ครับ... คนเรามักเป็นอย่างนั้น กลไกปกป้องตนเองทำงานอย่างขยันขันแข็ง
ซึ่งมักจะทำงานเป็นทีม ร่วมกับต่อมแก้ตัว และขับไล่ฮอร์โมนแก้ไขออกจากจิตใจ
ทำให้ตามองไม่เห็นความผิดของตนเอง และมักโทษคนรอบข้างว่าเป็นสาเหตุให้ตนเองต้องเป็นทุกข์
ผมชอบการเปรียบเทียบการแก้ไขปัญหาแบบวิธีกฏแห่งกระจก...เขาบอกว่า
เมื่อเราส่องกระจกและพบว่าผมของเรายุ่งเหยิง ดูไม่ได้
เราไม่สามารถยื่นมือเข้าไปหวีผมในกระจกได้
เราต้องแก้ไขที่ตัวเรา แล้วภาพในกระจกก็จะดีขึ้นเอง
ดีนะที่เปรียบเทียบกับทรงผมที่ยุ่งเหยิง
ถ้าเปรียบเทียบเรื่องหน้าตาที่ยุ่งเหยิงละก็...ไม่รู้จะแก้ไขยังไง
สงสัยต้องกลับไปเกิดใหม่ แล้วค่อยมาส่องกระจกอีกครั้ง ถ้าโชคดี หน้าตาอาจดีขึ้นก็ได้
ถ้าหากหัวใจของคุณ อยู่ในช่วงแห่งความราบรื่น เบิกบาน ผ่องใส
สิ่งเหล่านั้นจะสะท้อนภาพออกมาเป็นรอยยิ้มบนใบหน้า
และเหตุการณ์ในชีวิตก็จะราบรื่น เบิกบาน ผ่องใสตามไปด้วย
ไม่ว่ามนุษย์จะค้นพอกฎใด ๆ ก็ตามที่สามารถทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
แต่ “กฎแห่งความรัก” ที่เที่ยงแท้และมั่นคงของพระเยซูเจ้ายังคง “สัจจะนิรันดร์” สำหรับเราเสมอ
เรื่องราวการแก้ปัญหาของเอโกะ ตามขั้นตอนของกฎแห่งกระจกดำเนินไปอย่างไร
ถ้าอยากรู้ว่าซึ้งใจแค่ไหน ต้องไปอ่านเองครับ
และอย่าลืมเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ด้วยนะครับ ไม่รับประกันความอ่อนแอของหัวใจ
ขอพระอวยพร
และได้ข่าวว่าทางสำนักพิมพ์ ได้ทำ "กฎแห่งกระจก" เป็นฉบับการ์ตูนแล้ว