Edit title Here

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่
นักคิดร้อยคำ นักธรรมร้อยใจ
วันนี้มีอะไรใหม่ ๆ เสมอในชีวิต
อย่างน้อยก็มีความรักของพระเจ้า
เป็นความรัก...ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง...
และอยู่กับเราเสมอ...แม้เราจะไม่ค่อยใส่ใจก็ตาม
Enter
BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

กฎแห่งกระจก


สุขได้ เริ่มที่ใจตัวเอง
(หนึ่งในบทความในหนังสือ เริ่มต้นที่ดินดี ของภัคพล มหัตกุล)

มีน้อยครั้ง ที่ผมอ่านหนังสือจบเล่ม ภายในวันเดียว
ส่วนใหญ่จะอ่านแบบค้างคาตามอารมณ์และตามรสชาติของกาแฟ ที่จิบขณะอ่านหนังสือ
ผมมักจะดองหนังสือเอาไว้ เพื่อให้ได้รสชาติน้องๆ กิมจิ
แล้วค่อยหยิบอ่านใหม่

หนึ่งในน้อยเล่มของหนังสือที่ผมอ่านจบภายในวันเดียวคือ กฎแห่งกระจก ของ โยชิโนริ โนจุงิ อาจเป็นเพราะเป็นเล่มบาง จึงจบอย่างรวดเร็ว
กฎแห่งกระจก เป็นหนังสือ how-to ของญี่ปุ่น ที่ขายดีติดอันดับ Best seller เชียว
และเปลี่ยนปกมาไม่รู้กี่สีแล้ว พิมพ์ซ้ำไม่รู้กี่ครั้ง

ผมได้หนังสือนี้ ตอนไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๔
ที่จริงไม่ได้ตั้งใจซื้อหรอก แต่ซื้อตามโปรโมชั่นและคำโฆษณาของคนขาย

คนขายบอกว่าหนังสือทุกเล่มลด ๑๕% แต่ถ้าซื้อสี่เล่ม ลด ๒๐%
ครับ...ด้วยความงกโดยตั้งใจ จึงเลือกหยิบเล่มนี้เป็นเล่มที่สี่
พอดิบพอดีกับคำท้าทายของคนขายว่า
ถ้าจะอ่าน กฎแหงกระจก ให้เตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ด้วย...เพราะเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้อ่าน อ่านแล้วจะร้องไห้
จึงอยากลองดูสิว่า ผู้ชายพุงสามศกอย่างผม จะร้องไห้เพราะหนังสือเล่มเล็ก ได้ยังไง

อยากรู้ไหมว่าผมร้องไห้หรือเปล่า ไม่บอกดีกว่าครับ เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น

เวลาที่เกิดปัญหากับชีวิตอันแสนโสภาของคุณ
คุณมักจะโทษใคร
บ่อยครั้งที่เรามักโทษปัจจัยภายนอก
และมักจะคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกกระทำเสมอ

แต่เมื่อคุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้
คุณจะพบว่า แท้จริงแล้วทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต มีต้นเหตุมาจากตัวเราทั้งสิ้น
ในหนังสือผู้เขียนได้นำเสนอกฎแห่งกระจก
กฎนี้มีหลักการง่าย อยู่ว่า
ชีวิตคือกระจกส่องสะท้อนจิตใจของเราเอง

ในหนังสือมีเรื่องเล่าอยู่แค่เรื่องเดียว มีความยาวเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ เป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมขอเล่าคร่าว ละกัน

เอโกะ (ชื่อสมมติ ที่ใช้แทนบุคคลจากสถานการณ์จริง)
เธอมีปัญหากับลูกชาย และกับสามี
แต่เธอไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
ลูกชายเธอมีเรื่องที่โรงเรียนเป็นประจำ แต่ไม่เคยเล่าหรือปรึกษาเธอ
เธอกลุ้มใจและเป็นกังวลตลอดเวลา

ที่สุดเธอได้พบจิตแพทย์คนหนึ่ง เขาแนะนำเธอ โดยใช้กฎแห่งกระจก แบบที่เธอไม่รู้ตัวว่านั่นคือ ขึ้นตอนของกฎแห่งกระจก
เธอทำตามที่จิตแพทย์คนนั้นสั่งทุกขั้นตอน โดยเริ่มจากการสำรวจความขัดแย้งและปัญหากับบุคคลใกล้ชิด ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
เธอพบว่าสมัยเธอเป็นวัยรุ่น เธอมีเรื่องกับพ่อ เธอคิดว่าพ่อไม่เข้าใจเธอ ไม่รักเธอ ฯลฯ
ที่สุดจิตแพทย์คนนั้น ได้ให้เธอเป็นคนคลายปมนั้นด้วยตัวเธอเอง
และเธอก็สามารถทำได้
เธอเริ่มทำวิธีเดียวกันกับสามี และเธอก็ทำได้อีก

หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของเธอกับลูกชาย กลับดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ลูกชายเธอเริ่มเล่าเรื่องต่าง ที่โรงเรียนให้ฟัง
และความสัมพันธ์ของลูกชายกับเพื่อนของเขาก็ดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจเช่นเดียวกัน เป็นเหมือนลูกโซ่ที่มีผลกระทบต่อเนื่องกัน

เมื่ออ่านจบ
ผมพบว่า ได้เวลาที่ผมต้องเริ่มสำรวจจิตใจตัวเองแล้วละ
ผมอ่านไป คิดไป
และตรวจดูหัวใจของผมเป็นระยะ
ว่ามีส่วนคล้ายกับเอโกะหรือไม่
และมีเรื่องอะไรที่ยังค้างคาใจผมอยู่หรือเปล่า
และถ้าแก้ปมในจิตใจได้
ปัญหาในชีวิตเราจะดีขึ้นจริงหรือเปล่า

ไม่สำคัญว่า กฎแห่งกระจก จะใช้แก้ปัญหาในชีวิตของเราได้ทุกเรื่องหรือไม่
สำคัญอยู่ที่หลักปฏิบัติของกฎ
คือ ต้องรู้จักให้อภัย และรู้จักขอบคุณบุคคลใกล้ตัว
ตราบใดที่ยังมีอะไรค้างคาอยู่ในใจ
หัวใจมีแผลเป็น อาจเป็นปมที่เราไม่รู้ตัว
และสิ่งนั้นอาจจะสะท้อนออกมาในชีวิตคุณ

โยชิโนริ บอกว่า
นอกจากคนเราจะไม่ยอมรับปัญหาเดิม ที่ยังไม่ได้รับการสะสางแล้ว
ยังคิดว่าสิ่งนั้นไม่ใช่ต้นเหตุแห่งปัญหา จึงมัวแต่สนใจแก้ไขที่ปลายเหตุ
ทั้งที่เหตุการณ์ทั้งหมดในชีวิตที่เกิดขึ้น
เป็นภาพสะท้อนออกมาจากจิตใจของเราเอง
ดังนั้น ถ้าจะแก้ไขปัญหาต้องแก้ที่ภายในก่อนเสมอ
อย่าไปมองที่ใจคนอื่น ยิ่งโทษคนอื่น ใจยิ่งไม่เป็นสุข

พระเยซูเจ้าทรงสอนเรื่องการมองคนอื่นว่า

ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง
แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย 
ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า
ปล่อยให้ฉันเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด
ขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่าน[1] 

ความบกพร่องของคนอื่นใหญ่เท่าภูเขา ความผิดของเราเล็กเท่าเส้นผม
ครับ... คนเรามักเป็นอย่างนั้น กลไกปกป้องตนเองทำงานอย่างขยันขันแข็ง
ซึ่งมักจะทำงานเป็นทีม ร่วมกับต่อมแก้ตัว และขับไล่ฮอร์โมนแก้ไขออกจากจิตใจ
ทำให้ตามองไม่เห็นความผิดของตนเอง และมักโทษคนรอบข้างว่าเป็นสาเหตุให้ตนเองต้องเป็นทุกข์

ผมชอบการเปรียบเทียบการแก้ไขปัญหาแบบวิธีกฏแห่งกระจก...เขาบอกว่า
เมื่อเราส่องกระจกและพบว่าผมของเรายุ่งเหยิง ดูไม่ได้
เราไม่สามารถยื่นมือเข้าไปหวีผมในกระจกได้
เราต้องแก้ไขที่ตัวเรา แล้วภาพในกระจกก็จะดีขึ้นเอง

ดีนะที่เปรียบเทียบกับทรงผมที่ยุ่งเหยิง
ถ้าเปรียบเทียบเรื่องหน้าตาที่ยุ่งเหยิงละก็...ไม่รู้จะแก้ไขยังไง
สงสัยต้องกลับไปเกิดใหม่ แล้วค่อยมาส่องกระจกอีกครั้ง ถ้าโชคดี หน้าตาอาจดีขึ้นก็ได้

ถ้าหากหัวใจของคุณ อยู่ในช่วงแห่งความราบรื่น เบิกบาน ผ่องใส
สิ่งเหล่านั้นจะสะท้อนภาพออกมาเป็นรอยยิ้มบนใบหน้า
และเหตุการณ์ในชีวิตก็จะราบรื่น เบิกบาน ผ่องใสตามไปด้วย

ไม่ว่ามนุษย์จะค้นพอกฎใด ก็ตามที่สามารถทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น
แต่ กฎแห่งความรัก ที่เที่ยงแท้และมั่นคงของพระเยซูเจ้ายังคง สัจจะนิรันดร์ สำหรับเราเสมอ

เรื่องราวการแก้ปัญหาของเอโกะ ตามขั้นตอนของกฎแห่งกระจกดำเนินไปอย่างไร
ถ้าอยากรู้ว่าซึ้งใจแค่ไหน ต้องไปอ่านเองครับ
และอย่าลืมเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ด้วยนะครับ ไม่รับประกันความอ่อนแอของหัวใจ

ขอพระอวยพร


[1] มธ 7:3-4

และได้ข่าวว่าทางสำนักพิมพ์ ได้ทำ "กฎแห่งกระจก" เป็นฉบับการ์ตูนแล้ว

-->
เนื้อหาและรูปภาพในบล็อกนี้ แม้จะไม่ใช่มืออาชีพ..แต่ถ้าจะนำไปใช้ในการอื่น ขอให้แจ้งเจ้าของบล็อกนิดนึงนะครับ
สงวนลิกขสิทธิ์ตามพ.ร.บ. ครับ...