Edit title Here

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่
นักคิดร้อยคำ นักธรรมร้อยใจ
วันนี้มีอะไรใหม่ ๆ เสมอในชีวิต
อย่างน้อยก็มีความรักของพระเจ้า
เป็นความรัก...ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง...
และอยู่กับเราเสมอ...แม้เราจะไม่ค่อยใส่ใจก็ตาม
Enter
BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไหตักน้ำใบเดิม

(หนึ่งในบทความในหนังสือ "เริ่มต้นที่ดินดี")





ไหตักน้ำใบเดิม

            มาถึงเรื่องไห...ไห กันบ้าง อยากพูดถึงเรื่องนี้เพราะที่บ้านมีไห
โตมาได้ก็เพราะไหนี่แหละ
ไปไหนมาไหนก็คิดถึงแต่ไหปลาร้าของแม่ที่บ้าน
           
แต่ไหที่จะพูดถึงนี้ ไม่ใช่ไหปลาร้าแถวบ้านนะ
            ไม่ใช่ไหมังกรจากราชบุรีด้วย
            และไม่ใช่เหล้าไหแถวเรณูนคร ที่ซื้อมาเวียนกันดูด
            หลอดเดียวทั่วถึง คนนี้ที คนนั้นที ไม่รู้ใครเป็นใคร
            แต่ที่ซ้ำร้ายกว่า การไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คือการไม่รู้ว่าใครเป็นอะไร
            บางคนเคยผวามาแล้ว เมื่อรู้ว่าเพื่อนคนหนึ่งในวงเหล้าไห
ที่เคยใช้หลอดไม้ไผ่ดูดเหล้าไหร่วมกันนั้น เป็นโรคเอดส์...
            และในเวลาต่อมาเขาก็ตาย ...
พวกที่เหลือคิดหนักไปหลายเดือนกว่าจะโล่งใจว่าตนไม่มีเชื้อ
            และยังมีชีวิตต่อจนถึงทุกวันนี้
...แต่ถ้าดื่มเหล้าต่อไป...อาจเป็นรายต่อไปก็ได้
เพราะโรคตับแข็งจะมาเยือน
           
กลับมาถึงเรื่องของไหกันต่อ
            ไหที่จะกล่าวถึงนี้ คือ ไหของหญิงชาวสะมาเรีย
            นางแบกไหมาตักน้ำเป็นประจำที่บ่อน้ำยาโคบ
            วันหนึ่งนางได้พบกับพระเยซูเจ้า และสนทนากับพระองค์อยู่สักพัก
            แล้วนางก็รีบเข้าไปในเมือง ทิ้งไหคู่ชีพเอาไว้ โดยไม่สนใจการตักน้ำเลย
            แล้วนางได้คุยอะไรกับพระเยซูเจ้าละ
            จึงได้ทิ้งเจ้าไหได้ลงคอ เรื่องมีอยู่ว่า

 

ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำพระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิดบรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า ท่านเป็นชาวยิว ทำไมจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรียเล่าเพราะชาวยิวไม่ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลย พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า
หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า
ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด ท่านคงกลับเป็นผู้ขอ
และผู้นั้นจะให้ น้ำที่ให้ชีวิตแก่ท่าน
นางจึงทูลว่า นายเจ้าข้า ท่านไม่มีถังตักน้ำ และบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอาน้ำที่ให้ชีวิต มาจากไหน ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบให้บ่อน้ำนี้แก่เรา ยาโคบลูกหลานและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้ จะกระหายอีก
แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้น จะไม่กระหายอีก
น้ำที่เราจะให้เขา จะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร
หญิงนั้นจึงทูลว่า นายเจ้าขา โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมาตักน้ำที่นี่อีก”  พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาที่นี่”  หญิงผู้นั้นทูลตอบว่า ดิฉันไม่มีสามีพระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า เธอพูดถูกแล้วที่ว่า ดิฉันไม่มีสามีเพราะเธอมีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนที่อยู่กับเธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูดจริงทีเดียวหญิงผู้นั้นจึงทูลว่า ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่า สถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า
นางเอ๋ย เชื่อเราเถิด ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า
ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จัก แต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรารู้จัก
เพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว แต่จะถึงเวลาคือเวลานี้
เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง
เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็นจิต
ผู้ที่นมัสการพระองค์ จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง
หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า ดิฉันรู้ว่า พระเมสสิยาห์คือพระคริสต์กำลังจะเสด็จมา และเมื่อเสด็จมา พระองค์จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้พระเยซูเจ้าตรัสว่า เราที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์
ขณะนั้น บรรดาศิษย์มาถึง รู้สึกประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนาอยู่กับหญิงผู้นั้น แต่ไม่มีใครทูลถามว่า พระองค์ทรงต้องการสิ่งใดจากนางหรือว่า พระองค์กำลังตรัสอะไรกับนางหญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไป ในเมือง และบอกประชาชนว่ามาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ เขาเป็นพระคริสต์กระมังประชาชนจึงออกจากเมืองมาเฝ้าพระองค์[1]

            เรื่องอาจจะยาวไปนิด พอเริ่มอ่านอาจเริ่มกระหายน้ำ
แต่พออ่านจบ อาจพบน้ำทรงชีวิตของพระเยซูเจ้า และหายเหนื่อยก็เป็นได้
           
อันที่จริงในเรื่องนี้ มีบทเรียนบทสอนมากมาย
            แต่ผมคิดว่าถ้าพูดกันยืดยาว อาจทำให้ผู้อ่านปวดหัว และสำลักออกมาเป็นตัวหนังสือก็ได้
ผมจึงเลือกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝากจะดีกว่า นั้นคือ ไหน้ำของหญิงชาวสะมาเรีย

            ไอ้เจ้าไหนี้ ผมใช้มันแทนคำว่า “ชีวิตเก่า” หรือ “ชีวิตเดิม ๆ “ ของเราก็แล้วกัน
            มันเป็นที่ชีวิตที่ไม่ค่อยมีชีวาเท่าไร ไร้จุดยืน และแถมไร้จุดนั่ง ไร้จุดนอน และไร้จุดหมายอีกต่างหาก
            พระเยซูเจ้าคือคำตอบสำหรับเราในสถานการณ์เช่นนี้
            พระองค์ทรงเป็นจุดยืน และจุดหมายของเรา
พระเยซูเจ้าทรงรู้ทุกอย่าง รวมถึงความทุกข์ของเราด้วย
           

            ถ้าจะเปรียบชีวิตของเรา กับชีวิตของหญิงชาวสะมาเรีย
            หากเรายังไม่พบพระเยซูเจ้า เราก็คงต้องมาตักน้ำไปไว้ดื่มไว้ใช้เป็นประจำตลอด เหมือนกันนางที่มาตักน้ำที่บ่อของยาโคบเป็นประจำ
ถ้าไม่ตักก็ไม่ได้ดื่ม ไม่ได้ใช้
            เมื่อใช้หมดแล้วก็มาตักใหม่
ชีวิตของเราต้องเติมน้ำอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยอิ่ม
            ต้องใช้ไหใบเดิมมาตักน้ำ เพื่อให้มีชีวิตรอดไปวันวัน
           
น้ำที่บ่อของยาโคบก็เหมือนความสุขในโลกนี้
            ที่เป็นความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
            เสพแล้วก็ต้องการอีกไม่รู้จักจบสิ้น
            แม้จะมีการกักตุนไว้ก็ยังไม่รู้จักพอ
           
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ได้พูดเกี่ยวกับ สุขชั่วคราวเอาไว้ว่า  

“ชีวิตนี้อย่าไปหลงความสุขชั่วคราว
หากไปติดอยู่กับความสุขชั่วคราวนี้
จะไม่ได้พบความสุขอันไพบูลย์เลย
ผู้ใดติดอยู่ในความสุขชั่วคราว อย่างเช่น
ติดอยู่ในการกิน ไม่ได้กินอาหารอันอร่อย ไม่ได้ฆ่าสัตว์มาทำอาหารกินมันไม่อร่อย นั่นเรียกว่าติดในการกิน อันเป็นเหตุให้ทำบาป
ติดในการนอน ได้นอนมากก็ถือว่าดี ร่างกายจะได้สมบูรณ์ ถ้านอนน้อยกลัวร่างกายจะซูบผอม จึงต้องนอนให้มากๆ เรียกว่าติดในการนอน
ไม่แบ่งเวลาประกอบความเพียรทางจิตเลย ก็เลยไม่ได้ผลในจิตใจ
ไม่ได้ชำระกิเลสออกจากจิตใจนี้ ลองสังเกตดู...”

            หลวงปู่ให้ข้อคิดดีมากเลย
การกิน การนอนของเรานั้น ไม่จีรังไพบูลย์ เป็นกิเลสที่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และต้องปรุงแต่ง ไม่รู้จักจบสิ้น
           
            มีบางสิ่งที่เป็นชีวิตเดิม ๆ อยู่ในใจหญิงชาวสะมาเรียคนนั้น
            บาปที่ติดค้างอยู่ในใจของนางคือ กิเลสและตัณหา
            นางมีสามีแล้วถึงห้าคน    และที่สำคัญผู้ชายที่นางอยู่ด้วยในปัจจุบันนี้ก็ไม่ใช่สามีนาง
            ยุ่งละสิทีนี้ พระเยซูเจ้าล่วงรู้เรื่องส่วนตัวของนางได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย

เหตุนี้จึงทำให้หญิงชาวสะมาเรียคนนี้ แปลกใจที่มีคนรู้เรื่องส่วนตัวของตน
นางสะดุ้งตื่น หลังจากที่มีพระผู้ทรงชีวิต มาสะกิดแผลในใจของนาง

พระองค์ทรงสอนนางและพร้อมที่จะให้นางเริ่มต้นชีวิตใหม่
โดยการฟังคำสอนของพระองค์
ให้รู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ชั่วครั้งชั่วคราว
และหันมาสนใจสิ่งที่เป็นนิรันดร์ คือ ข่าวประเสริฐเรื่องพระอาณาจักรสวรรค์
พระองค์ชี้ให้เห็นว่า คำสอนของพระองค์คือน้ำทรงชีวิต ที่ดื่มแล้วจะไม่รู้จักกระหายอีก

คำพูดของพระเยซูเจ้า เชื้อเชิญให้นางกลับตัวกลับใจ
และแสวงหารสพระธรรม  และนางก็ได้เห็นแสงสว่าง
นางจึงรีบวิ่งเข้าไปในเมือง เพื่อไปบอกข่าวดีแก่ชาวเมืองว่า
ว่านางได้พบพระผู้ทรงชีวิต ผู้ที่พวกเขารอคอย
พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

สำหรับข่าวดีของพระเยซูเจ้านั้น
            คนที่ประสบอย่างลึกซึ้ง เขาจะอิ่ม และไม่หิวอีกเลย
            เป็นความสุขลึก ๆ ที่ล้นเอ่อ และอยากแบ่งปันให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย
            จะสังเกตได้เลยว่า หากคนใดที่พบอะไรบางอย่างในพระวาจาของพระเจ้า
            เขาจะมีความกระตือรือร้น ที่จะบอกสิ่งในให้คนอื่นรับรู้ และยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อชีวิตที่ดีกว่า
            ชีวิตของหลายคน เปลี่ยนแปลงได้ เพราะข้อความจากพระคัมภีร์เพียงไม่กี่ประโยค
            ฉะนั้น สิ่งแรกที่เราต้องแสวงหา คือ ต้องแสวงหาจิตตารมณ์ของพระเยซูเจ้าให้พบ
            แล้วเราจะลืมชีวิตเก่าไปโดยปริยาย

            ลองสำรวจตัวเองดู ว่าในตัวเรานี้มีไหที่เป็นชีวิตเก่าอยู่บ้างไหม และมีอยู่กี่ใบ
            บางคนอาจมีมาก มีน้อย  บางคนชอบสะสมก็อาจมีมากหน่อย
            ไหของบางคน ก็อาจจะบรรจุสิ่งเลวร้ายที่ไม่พึงประสงค์ไว้ เหม็นยิ่งกว่าไหปลาร้าแถวบ้านผมอีก
            ไหแตกเมื่อใด ได้มีชื่อเสียดังกระช่อน กลิ่นหอมฉึ่งกันทั่วบ้านทั่วเมือง
            เลิกสะสมไหแห่งกิเลสและตัณหาเถิด ชีวิตจะได้ไม่ต้องแสวงหาอะไรมาเติมให้เต็มอีก
            เพราะเรามีสิ่งที่ต่อเติมให้ชีวิตเต็มอิ่มอยู่แล้ว นั่นคือ พระวาจาของพระเจ้านั่นเอง...

เช้าหนึ่งในวันที่ฟ้าสีคราม ตัดกับแสงแดดที่ส่องทะลุร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่มีพ่อลูกคู่หนึ่งกำลังเหยียดกายนอนบนพื้นหญ้าอันแสนร่มรื่น
ผู้เป็นพ่อถามลูกว่า "ลูกเห็นแมวสามตัวบนรั้วนั่นไหม ถ้ามีแมวสองตัวตัดสินใจกระโดดลงมา ถามว่าจะเหลือแมวกี่ตัวบนรั้ว" ...
...เราลองตอบดูสิครับ...

คำตอบก็คือ "ยังเหลือแมว 3 ตัวอยู่นั่นเอง เพราะการตัดสินใจ ไม่ได้หมายความว่ามันกระโดดจริงๆ"
คนทุกคนอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของเขาให้ดีขึ้น
แต่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาลงมือทำจริง ๆ เท่านั้น

ขอพระอวยพร


[1] ยอห์น ๔:๖-๓๐

-->
เนื้อหาและรูปภาพในบล็อกนี้ แม้จะไม่ใช่มืออาชีพ..แต่ถ้าจะนำไปใช้ในการอื่น ขอให้แจ้งเจ้าของบล็อกนิดนึงนะครับ
สงวนลิกขสิทธิ์ตามพ.ร.บ. ครับ...