Edit title Here

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่
นักคิดร้อยคำ นักธรรมร้อยใจ
วันนี้มีอะไรใหม่ ๆ เสมอในชีวิต
อย่างน้อยก็มีความรักของพระเจ้า
เป็นความรัก...ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง...
และอยู่กับเราเสมอ...แม้เราจะไม่ค่อยใส่ใจก็ตาม
Enter
BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อย่ากังวลใจเลย...

(หนึ่งในบทความในหนังสือ เริ่มต้นที่ดินดี)

หวังว่าพระวาจาของพระเ้จ้าในวันนี้
จะทำให้หลาย ๆ คน ได้ผ่อนคลาย
ในความดูแลเอาใจใส่ของพระองค์



ถ้าจะยึดตามคำกล่าวที่ว่า “ทุกปัญหามีทางแก้”
แสดงว่า ถ้าเรื่องเลวร้ายใด ๆ ในชีวิต ที่หาทางแก้ไขไม่ได้ “มันก็ไม่ใช่ปัญหา”
จึงไม่ต้องไปขบคิดหรือกังวลกับมัน ให้เสียเวลา จริงไหม!

แน่นอน ทุกคนย่อมมีปัญหา และปัญหาของแต่ละคนก็ต่างกันไป
การแก้ปัญหาของแต่ละคนก็ต่างกันเช่นกัน
บางคนก็หาทางแก้ไขได้ด้วยตนเอง เรียนผูกก็ต้องเรียนแก้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
บางคนรับมือกับปัญหาคนเดียวไม่ไหว ต้องพึ่งพาอาศัยเพื่อนพี่น้อง คนอื่นเป็นที่พึ่งแห่งตน
บางคนทนไม่ไหว หนีปัญหาหัวซุกหัวซุน หรือหนีหายไปจากโลกนี้ก็มี เพราะคิดว่า ไม่มีที่พึ่งใดที่จะช่วยตนได้
บางคนหาทางออกแบบขาดสติ ไม่คิดให้รอบคอบยิ่งทำให้เดือดร้อนกว่าเดิม
บางคนก็โวยวาย ว้าวุ่น ฟูมฟาย ยังกะค_ายจะออกลูก
สติสตางค์ต้องรู้จักควบคุมไว้ สิ่งที่ปัญหากลัวที่สุดคือ สติ นี่แหละ
หัดแขวน สติ ไว้ที่คอบ้างก็ดี จะได้ไม่เกิดปัญหาทำให้เสียใจภายหลัง

มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งอยากเล่าให้ฟัง
เผื่อว่าบางที คนมีปัญหาจะได้เข้าใจตนเองบ้าง
เรื่องมีอยู่ว่า...

ชายชราคนหนึ่ง เลี้ยงม้าตัวเมียไว้ ๑ ตัว
อาชีพของแก คือ นำม้าตัวเมียไปจ้างผสมพันธุ์ และเมื่อได้ลูกม้า แกก็จะนำลูกม้าไปขาย
อยู่ต่อมาวันหนึ่ง ม้าตัวเมียนั้นได้หายไปจากบ้าน เครื่องมือหากินไม่อยู่ซะแล้ว
ชาวบ้านผู้มีน้ำใจได้มาแสดงความเสียใจกับชายชรา เพราะแกเป็นคนดี เป็นที่รักของทุก ๆ คน
ชายชราได้แสดงความขอบคุณ ตอบกลับ ด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “มันอาจจะดีก็ได้”
ต่อมาอีก ๒-๓ วัน ม้าตัวเมียนั้นได้กลับมาพร้อมกับม้าตัวผู้ ๑ ตัว กำไรเห็น ๆ
ชาวบ้านรู้ข่าว ต่างก็แสดงความยินดีกับแกอีก เพราะต่อไปนี้ ชายชรานั่งจิบน้ำชาก็มีลูกม้าขาย ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างเขาผสมพันธุ์
ชายชราก็แสดงความความขอบคุณต่อเพื่อนบ้าน และตอบด้วยเสียงสุภาพว่า มันอาจจะร้ายก็ได้
และอีกไม่นานนัก ลูกชายคนเดียวของแกก็ได้กระโดดขึ้นไปขี่หลังม้าตัวผู้นั้น ม้าเกิดพยศ
ลูกชายของชายชราตกลงมาขาหัก ชาวบ้านก็สงสาร เพราะชายชรามีลูกชายเพียงคนเดียวและรักลูกมาก
หลายคนจึงมาแสดงความเสียใจ และปลอบโยนให้กำลังใจ
แต่ชายชรากลับตอบด้วยสีหน้าปกติ วาจาสุภาพเหมือนทุกครั้งว่า มันอาจจะดีก็ได้
บ้านของชายชราอยู่ชายแดน ซึ่งทางราชการมีกฎว่าชายหนุ่มทุกคนต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารสู้รบป้องกันบ้านเมือง
แต่ด้วยเหตุที่ลูกชายของแกเกิดขาหักพิการเสียแล้ว จึงไม่สามารถไปเป็นทหารได้ จึงได้อยู่ดูแลชายชราต่อไป และยังมีโอกาสผสมพันธุ์ม้าหาเลี้ยงชีพอย่างมีความสุข...

เรื่องเล่าเรื่องนี้สอนเราว่า
ในชีวิตคนเรานั้น มีหลาย ๆ เรื่องผ่านเข้า
บางครั้งก็ดี บางครั้งก็ร้าย
สิ่งดีอาจกลายเป็นสิ่งร้าย และสิ่งร้ายก็อาจกลายเป็นสิ่งดีได้
หากเราเจอปัญหาและคิดว่ามืดแปดด้าน
จงอย่าท้อถอยเพราะเหตุการณ์นั้นอาจมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นก็ได้
เหมือนที่คนเขาชอบพูดกันว่า “เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส”
ในขณะเดียวกัน ถ้าได้สิ่งใดสมปรารถนาก็อย่าดีใจจนประมาทเพราะสักวันมันอาจจะไม่ดีอย่างที่คิดไว้ก็ได้
แต่ผมคิดว่าเราน่าจะ “เปลี่ยนทุกวินาทีให้เป็นโอกาส” น่าจะเข้าท่าดี
เพราะมันเป็นวิธีปิดช่องทาง ไม่ให้วิกฤตเดินผ่านชีวิตเราได้

คำสอนของคริสต์ศาสนา บอกไว้ว่า
ไม่ว่าชีวิตเราจะมีปัญหาใด ๆ ก็ตาม ให้ไว้ใจในพระเจ้า
หรือว่าถ้าชีวิตมีความสุขก็ให้ขอบคุณพระเจ้า และมอบทุกสิ่งไว้กับพระองค์
            ให้รับรู้ไว้ว่า พระองค์ทรงดูแล และอยู่เคียงข้างเราเสมอ
            เหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสไว้ว่า...

“นกกระจอกห้าตัวราคาขายสองบาทมิใช่หรือ
แม้กระนั้นไม่มีนกสักตัวเดียวที่พระเจ้าทรงลืม 
ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว
อย่าเกรงกลัวเลย
ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำนวนมาก”[1]

อ่านพระวาจาตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนปลอดภัยยังไงไม่รู้ (ผมอาจจะรู้สึกคนเดียวก็ได้)
ในชีวิตเราเมื่อเจอปัญหา บางครั้งอาจมีความรู้สึกว่าตนเป็น ดอกหญ้าในป่าปูน เหมือน ต่าย อรทัย และรู้สึก กลัว เหมือน โดม ปกรณ์ ลัม (เชยไปนิด ก็ทน ๆ หน่อยละกัน)

พระเจ้าทรงดูแลทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างมา
ไม่เว้นแม้แต่พืชพรรณธัญญาหาร หรือสิงห์สาราสัตว์
ไม่ว่าจะเป็นนกกระจอก ดอกหญ้า อะมีบ้า แบคทีเรีย สัตว์เซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ พระองค์ไม่เคยทอดทิ้ง
แล้วมนุษย์เราซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของพระองค์ พระองค์ยิ่งต้องดูแลเป็นพิเศษ อย่าทำให้โบว์แดงของพระองค์ กลายเป็น โบว์แดงแสลงใจ ละกัน (ขอเชยอีกรอบ)
พระองค์ดูแลเราแม้กระทั่งเส้นผม ดูแลดีกว่าสถานบันที่เชี่ยวชาญด้านสุขภาพผมเสียอีก คิดดูแล้วกัน พระองค์ทรงดูแลถึงขนาดนับเส้นผมทุกเส้นเลยทีเดียว

ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเจอปัญหาในรูปแบบไหน
อย่าคิดว่าเราอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครเหลียวแล
แต่จงคิดว่า อย่างน้อยเรามีพระองค์คอยดูแลเราเสมอ
และพระองค์คนเดียวที่ รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลง (ขอเชยเป็นรอบสุดท้าย)
           
ความทุกข์ หรือความสุข ยังไงเราก็ต้องเจอ
ขึ้นอยู่กับว่า เราจะทักทายกับมันอย่างไร

ขอทิ้งท้ายด้วยคำพูดคม ๆ ของท่านนักบุญเปาโล ว่า

“ในเมื่อเรายอมรับความสุขว่าเป็นพระพรของพระเจ้า
เหตุไฉน เราจึงไม่ยอมรับความทุกข์ด้วยใจยินดี”

ขอพระอวยพร


[1] ลูกา ๑๒:๖-๗

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไหตักน้ำใบเดิม

(หนึ่งในบทความในหนังสือ "เริ่มต้นที่ดินดี")





ไหตักน้ำใบเดิม

            มาถึงเรื่องไห...ไห กันบ้าง อยากพูดถึงเรื่องนี้เพราะที่บ้านมีไห
โตมาได้ก็เพราะไหนี่แหละ
ไปไหนมาไหนก็คิดถึงแต่ไหปลาร้าของแม่ที่บ้าน
           
แต่ไหที่จะพูดถึงนี้ ไม่ใช่ไหปลาร้าแถวบ้านนะ
            ไม่ใช่ไหมังกรจากราชบุรีด้วย
            และไม่ใช่เหล้าไหแถวเรณูนคร ที่ซื้อมาเวียนกันดูด
            หลอดเดียวทั่วถึง คนนี้ที คนนั้นที ไม่รู้ใครเป็นใคร
            แต่ที่ซ้ำร้ายกว่า การไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คือการไม่รู้ว่าใครเป็นอะไร
            บางคนเคยผวามาแล้ว เมื่อรู้ว่าเพื่อนคนหนึ่งในวงเหล้าไห
ที่เคยใช้หลอดไม้ไผ่ดูดเหล้าไหร่วมกันนั้น เป็นโรคเอดส์...
            และในเวลาต่อมาเขาก็ตาย ...
พวกที่เหลือคิดหนักไปหลายเดือนกว่าจะโล่งใจว่าตนไม่มีเชื้อ
            และยังมีชีวิตต่อจนถึงทุกวันนี้
...แต่ถ้าดื่มเหล้าต่อไป...อาจเป็นรายต่อไปก็ได้
เพราะโรคตับแข็งจะมาเยือน
           
กลับมาถึงเรื่องของไหกันต่อ
            ไหที่จะกล่าวถึงนี้ คือ ไหของหญิงชาวสะมาเรีย
            นางแบกไหมาตักน้ำเป็นประจำที่บ่อน้ำยาโคบ
            วันหนึ่งนางได้พบกับพระเยซูเจ้า และสนทนากับพระองค์อยู่สักพัก
            แล้วนางก็รีบเข้าไปในเมือง ทิ้งไหคู่ชีพเอาไว้ โดยไม่สนใจการตักน้ำเลย
            แล้วนางได้คุยอะไรกับพระเยซูเจ้าละ
            จึงได้ทิ้งเจ้าไหได้ลงคอ เรื่องมีอยู่ว่า

 

ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณเที่ยงวัน หญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำพระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิดบรรดาศิษย์ของพระองค์ไปซื้ออาหารในเมือง หญิงชาวสะมาเรียทูลพระองค์ว่า ท่านเป็นชาวยิว ทำไมจึงขอน้ำดื่มจากดิฉันซึ่งเป็นชาวสะมาเรียเล่าเพราะชาวยิวไม่ติดต่อกับชาวสะมาเรียเลย พระเยซูเจ้าตรัสตอบนางว่า
หากท่านรู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่บอกท่านว่า
ขอน้ำดื่มสักหน่อยเถิด ท่านคงกลับเป็นผู้ขอ
และผู้นั้นจะให้ น้ำที่ให้ชีวิตแก่ท่าน
นางจึงทูลว่า นายเจ้าข้า ท่านไม่มีถังตักน้ำ และบ่อก็ลึกมาก ท่านจะเอาน้ำที่ให้ชีวิต มาจากไหน ท่านยิ่งใหญ่กว่ายาโคบ บรรพบุรุษของเราหรือ ยาโคบให้บ่อน้ำนี้แก่เรา ยาโคบลูกหลานและฝูงสัตว์ก็ได้ดื่มน้ำจากบ่อนี้พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า
ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้ จะกระหายอีก
แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้นั้น จะไม่กระหายอีก
น้ำที่เราจะให้เขา จะกลายเป็นธารน้ำในตัวเขา ไหลรินเพื่อชีวิตนิรันดร
หญิงนั้นจึงทูลว่า นายเจ้าขา โปรดให้น้ำนั้นแก่ดิฉันบ้าง เพื่อดิฉันจะไม่ต้องกระหายหรือต้องมาตักน้ำที่นี่อีก”  พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า จงไปเรียกสามีของเธอ และกลับมาที่นี่”  หญิงผู้นั้นทูลตอบว่า ดิฉันไม่มีสามีพระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า เธอพูดถูกแล้วที่ว่า ดิฉันไม่มีสามีเพราะเธอมีสามีมาแล้วถึงห้าคน และคนที่อยู่กับเธอเวลานี้ ก็ไม่ใช่สามีของเธอด้วย เธอพูดจริงทีเดียวหญิงผู้นั้นจึงทูลว่า ดิฉันเห็นแล้วว่าท่านเป็นประกาศก บรรพบุรุษของเราเคยนมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้ แต่ท่านพูดว่า สถานที่สำหรับนมัสการพระเจ้าคือกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูเจ้าตรัสแก่นางว่า
นางเอ๋ย เชื่อเราเถิด ถึงเวลาแล้วที่ท่านทั้งหลายจะนมัสการพระบิดาเจ้า
ไม่ใช่เฉพาะบนภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม ท่านนมัสการพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จัก แต่เรานมัสการพระเจ้าที่เรารู้จัก
เพราะความรอดพ้นมาจากชาวยิว แต่จะถึงเวลาคือเวลานี้
เมื่อผู้นมัสการแท้จริงจะนมัสการพระบิดาเจ้าเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง
เพราะพระบิดาทรงแสวงหาผู้นมัสการพระองค์เช่นนี้ พระเจ้าทรงเป็นจิต
ผู้ที่นมัสการพระองค์ จะต้องนมัสการเดชะพระจิตเจ้า และตามความจริง
หญิงผู้นั้นจึงทูลว่า ดิฉันรู้ว่า พระเมสสิยาห์คือพระคริสต์กำลังจะเสด็จมา และเมื่อเสด็จมา พระองค์จะทรงแจ้งทุกเรื่องให้เรารู้พระเยซูเจ้าตรัสว่า เราที่กำลังพูดอยู่กับเธอคือพระเมสสิยาห์
ขณะนั้น บรรดาศิษย์มาถึง รู้สึกประหลาดใจที่พระองค์ทรงสนทนาอยู่กับหญิงผู้นั้น แต่ไม่มีใครทูลถามว่า พระองค์ทรงต้องการสิ่งใดจากนางหรือว่า พระองค์กำลังตรัสอะไรกับนางหญิงผู้นั้นทิ้งไหน้ำของนางไว้ที่นั่น กลับเข้าไป ในเมือง และบอกประชาชนว่ามาเถิด มาดูชายคนหนึ่งที่บอกทุกอย่างที่ดิฉันเคยทำ เขาเป็นพระคริสต์กระมังประชาชนจึงออกจากเมืองมาเฝ้าพระองค์[1]

            เรื่องอาจจะยาวไปนิด พอเริ่มอ่านอาจเริ่มกระหายน้ำ
แต่พออ่านจบ อาจพบน้ำทรงชีวิตของพระเยซูเจ้า และหายเหนื่อยก็เป็นได้
           
อันที่จริงในเรื่องนี้ มีบทเรียนบทสอนมากมาย
            แต่ผมคิดว่าถ้าพูดกันยืดยาว อาจทำให้ผู้อ่านปวดหัว และสำลักออกมาเป็นตัวหนังสือก็ได้
ผมจึงเลือกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝากจะดีกว่า นั้นคือ ไหน้ำของหญิงชาวสะมาเรีย

            ไอ้เจ้าไหนี้ ผมใช้มันแทนคำว่า “ชีวิตเก่า” หรือ “ชีวิตเดิม ๆ “ ของเราก็แล้วกัน
            มันเป็นที่ชีวิตที่ไม่ค่อยมีชีวาเท่าไร ไร้จุดยืน และแถมไร้จุดนั่ง ไร้จุดนอน และไร้จุดหมายอีกต่างหาก
            พระเยซูเจ้าคือคำตอบสำหรับเราในสถานการณ์เช่นนี้
            พระองค์ทรงเป็นจุดยืน และจุดหมายของเรา
พระเยซูเจ้าทรงรู้ทุกอย่าง รวมถึงความทุกข์ของเราด้วย
           

            ถ้าจะเปรียบชีวิตของเรา กับชีวิตของหญิงชาวสะมาเรีย
            หากเรายังไม่พบพระเยซูเจ้า เราก็คงต้องมาตักน้ำไปไว้ดื่มไว้ใช้เป็นประจำตลอด เหมือนกันนางที่มาตักน้ำที่บ่อของยาโคบเป็นประจำ
ถ้าไม่ตักก็ไม่ได้ดื่ม ไม่ได้ใช้
            เมื่อใช้หมดแล้วก็มาตักใหม่
ชีวิตของเราต้องเติมน้ำอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยอิ่ม
            ต้องใช้ไหใบเดิมมาตักน้ำ เพื่อให้มีชีวิตรอดไปวันวัน
           
น้ำที่บ่อของยาโคบก็เหมือนความสุขในโลกนี้
            ที่เป็นความสุขชั่วครั้งชั่วคราว
            เสพแล้วก็ต้องการอีกไม่รู้จักจบสิ้น
            แม้จะมีการกักตุนไว้ก็ยังไม่รู้จักพอ
           
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ได้พูดเกี่ยวกับ สุขชั่วคราวเอาไว้ว่า  

“ชีวิตนี้อย่าไปหลงความสุขชั่วคราว
หากไปติดอยู่กับความสุขชั่วคราวนี้
จะไม่ได้พบความสุขอันไพบูลย์เลย
ผู้ใดติดอยู่ในความสุขชั่วคราว อย่างเช่น
ติดอยู่ในการกิน ไม่ได้กินอาหารอันอร่อย ไม่ได้ฆ่าสัตว์มาทำอาหารกินมันไม่อร่อย นั่นเรียกว่าติดในการกิน อันเป็นเหตุให้ทำบาป
ติดในการนอน ได้นอนมากก็ถือว่าดี ร่างกายจะได้สมบูรณ์ ถ้านอนน้อยกลัวร่างกายจะซูบผอม จึงต้องนอนให้มากๆ เรียกว่าติดในการนอน
ไม่แบ่งเวลาประกอบความเพียรทางจิตเลย ก็เลยไม่ได้ผลในจิตใจ
ไม่ได้ชำระกิเลสออกจากจิตใจนี้ ลองสังเกตดู...”

            หลวงปู่ให้ข้อคิดดีมากเลย
การกิน การนอนของเรานั้น ไม่จีรังไพบูลย์ เป็นกิเลสที่ต้องทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
และต้องปรุงแต่ง ไม่รู้จักจบสิ้น
           
            มีบางสิ่งที่เป็นชีวิตเดิม ๆ อยู่ในใจหญิงชาวสะมาเรียคนนั้น
            บาปที่ติดค้างอยู่ในใจของนางคือ กิเลสและตัณหา
            นางมีสามีแล้วถึงห้าคน    และที่สำคัญผู้ชายที่นางอยู่ด้วยในปัจจุบันนี้ก็ไม่ใช่สามีนาง
            ยุ่งละสิทีนี้ พระเยซูเจ้าล่วงรู้เรื่องส่วนตัวของนางได้อย่างไร ในเมื่อไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย

เหตุนี้จึงทำให้หญิงชาวสะมาเรียคนนี้ แปลกใจที่มีคนรู้เรื่องส่วนตัวของตน
นางสะดุ้งตื่น หลังจากที่มีพระผู้ทรงชีวิต มาสะกิดแผลในใจของนาง

พระองค์ทรงสอนนางและพร้อมที่จะให้นางเริ่มต้นชีวิตใหม่
โดยการฟังคำสอนของพระองค์
ให้รู้จักปล่อยวางในสิ่งที่ชั่วครั้งชั่วคราว
และหันมาสนใจสิ่งที่เป็นนิรันดร์ คือ ข่าวประเสริฐเรื่องพระอาณาจักรสวรรค์
พระองค์ชี้ให้เห็นว่า คำสอนของพระองค์คือน้ำทรงชีวิต ที่ดื่มแล้วจะไม่รู้จักกระหายอีก

คำพูดของพระเยซูเจ้า เชื้อเชิญให้นางกลับตัวกลับใจ
และแสวงหารสพระธรรม  และนางก็ได้เห็นแสงสว่าง
นางจึงรีบวิ่งเข้าไปในเมือง เพื่อไปบอกข่าวดีแก่ชาวเมืองว่า
ว่านางได้พบพระผู้ทรงชีวิต ผู้ที่พวกเขารอคอย
พระเยซูเจ้าผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

สำหรับข่าวดีของพระเยซูเจ้านั้น
            คนที่ประสบอย่างลึกซึ้ง เขาจะอิ่ม และไม่หิวอีกเลย
            เป็นความสุขลึก ๆ ที่ล้นเอ่อ และอยากแบ่งปันให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย
            จะสังเกตได้เลยว่า หากคนใดที่พบอะไรบางอย่างในพระวาจาของพระเจ้า
            เขาจะมีความกระตือรือร้น ที่จะบอกสิ่งในให้คนอื่นรับรู้ และยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อชีวิตที่ดีกว่า
            ชีวิตของหลายคน เปลี่ยนแปลงได้ เพราะข้อความจากพระคัมภีร์เพียงไม่กี่ประโยค
            ฉะนั้น สิ่งแรกที่เราต้องแสวงหา คือ ต้องแสวงหาจิตตารมณ์ของพระเยซูเจ้าให้พบ
            แล้วเราจะลืมชีวิตเก่าไปโดยปริยาย

            ลองสำรวจตัวเองดู ว่าในตัวเรานี้มีไหที่เป็นชีวิตเก่าอยู่บ้างไหม และมีอยู่กี่ใบ
            บางคนอาจมีมาก มีน้อย  บางคนชอบสะสมก็อาจมีมากหน่อย
            ไหของบางคน ก็อาจจะบรรจุสิ่งเลวร้ายที่ไม่พึงประสงค์ไว้ เหม็นยิ่งกว่าไหปลาร้าแถวบ้านผมอีก
            ไหแตกเมื่อใด ได้มีชื่อเสียดังกระช่อน กลิ่นหอมฉึ่งกันทั่วบ้านทั่วเมือง
            เลิกสะสมไหแห่งกิเลสและตัณหาเถิด ชีวิตจะได้ไม่ต้องแสวงหาอะไรมาเติมให้เต็มอีก
            เพราะเรามีสิ่งที่ต่อเติมให้ชีวิตเต็มอิ่มอยู่แล้ว นั่นคือ พระวาจาของพระเจ้านั่นเอง...

เช้าหนึ่งในวันที่ฟ้าสีคราม ตัดกับแสงแดดที่ส่องทะลุร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่มีพ่อลูกคู่หนึ่งกำลังเหยียดกายนอนบนพื้นหญ้าอันแสนร่มรื่น
ผู้เป็นพ่อถามลูกว่า "ลูกเห็นแมวสามตัวบนรั้วนั่นไหม ถ้ามีแมวสองตัวตัดสินใจกระโดดลงมา ถามว่าจะเหลือแมวกี่ตัวบนรั้ว" ...
...เราลองตอบดูสิครับ...

คำตอบก็คือ "ยังเหลือแมว 3 ตัวอยู่นั่นเอง เพราะการตัดสินใจ ไม่ได้หมายความว่ามันกระโดดจริงๆ"
คนทุกคนอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตของเขาให้ดีขึ้น
แต่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาลงมือทำจริง ๆ เท่านั้น

ขอพระอวยพร


[1] ยอห์น ๔:๖-๓๐

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

รักที่ยาก...คือรักที่เริ่ม

หากให้บอกว่า...รักแบบไหนยากที่สุด...
สำหรับผม...รักที่ยากที่สุดคือ "รักเริ่ม"

หากการนับเลขไม่เริ่มนับหนึ่ง...ก็คงไม่มีสอง สาม และสี่
ในชีวิตคนเรา มีบ้างบางครั้งที่ไม่ชอบหน้าใครบางคน หรือเกลี่ยดขี้หน้ามันสุด ๆ
เหมือนกับว่า...ทั้งชีวิตนี้ คงไม่มีวันจะรักเขาได้
ก็ใช่สิครับ...หากเราประเมินว่า ความรักที่เราจะมีให้กับเขา เท่ากับความรักที่เรามีให้คนที่เรารักอยู่
มันก็คงยาก ที่จู่ ๆ จะรักคนที่เราเกลี่ยด..ได้เท่ากับรักคนที่เรารัก และคนที่รักเรา

หากลองเริ่มต้นด้วยความรักเล็ก ๆ ก่อน ไม่ต้องมากมาย
เริ่มที่มองเขาบ้าง....มองในความดีของเขา แม้เราคิดว่าเขาไม่น่าจะมีเลย
เริ่มที่จะพูดกับเขาบ้าง...พูดดี ๆ กับเขาแม้แค่สองสามคำก็ตาม
เริ่มทักทายกับเขา...ไม่ต้องตั้งใจทักก็ได้...ทักแค่ตอนบังเอิญเจอกันก็ยังดี
เริ่มยิ้มให้เขา...แม้จะเป็นยิ้มแห้ง ๆ ก็ตาม
เริ่มช่วยเหลือเขาบ้าง...ไม่ต้องช่วยตลอดก็ได้ เลือกช่วยแค่ในยามที่เขาเดือดร้อนที่สุดก็พอ

สำหรับผม...ผมเรียกสิ่งนี้ว่า....การเริ่มรัก...
สักวัน...เราอาจจะพบว่า...
การเริ่มในสิ่งเล็ก ๆ ของเรานี้...ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับคนที่เราไม่ชอบ...เปลี่ยนไป...
และกลายเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ โดยที่เราไม่รู้ตัวเลยก็ได้


วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ช่วงเวลาสั้น ๆ

ชีวิตช่วงนี้...ผมขอให้เป็นเวลาพักผ่อนของผม
หลังจากสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มันคือ สัปดาห์แห่งคร่ำเครียดกับการสอบ
และการส่งโครงสร้างสารนิพนธ์...
หลังจากที่ผ่านพ้นไป...ผมรู้สึกถึงคำว่า "ฟ้าหลังฝน"...มันมีจริงๆ หรือนี่?

หลังจากครั้งที่แล้ว..ได้ถอดความคลิปหนังสั้น..สั้นจริงๆ ของ Constantin Pilavios
ครั้งนี้เลยขอทำอีกสักครั้ง...
แม้ว่าภาษาการแปลของผมจะไม่ค่อยดีนัก.
..แต่ผมรู้สึกว่าได้รับอะไรหลาย ๆ อย่างจากการแปลสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้


เรื่องนี้ ชื่อในภาษาอังกฤษ และภาษากรีก คือ 

Small Pleasures (Μικρές Χαρές) 2008


กาลครั้งหนึ่ง หมู่บ้านอันไกลโพ้น มีหนุ่มน้อยคนหนึ่งซึ่งใช้ชีวิตค่อนข้างแปลกจากคนอื่น
เขาชื่อ Eftichis ทุกอย่างในชีวิตเขาดูราบรื่นไปหมด จนกระทั่งวันหนึ่ง...
เมื่อหลายปีก่อนเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขา เป็นเหตุทำให้เขาเข้าใจชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งที่ต่างออกไปจากคนธรรมดา


ปริศนาเรื่องชีวิตมนุษย์...
...ปัญหาที่มนุษยชาติพยายามหาคำตอบมาหลายศตวรรษกระทั่งปัจจุบัน
แต่เขาได้พบความหมายของชีวิตแล้ว
เขารู้ว่าความสุขนั้น ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากช่วงเวลาเล็ก ๆ ในปัจจุบัน เวลาที่ไม่อาจเห็นได้
ช่วงเวลาเล็ก ๆ ในชีวิตของเขาคือ...



เวลาที่มีใครสักคนนอนเคียงข้างเราตลอดทั้งคืน
เวลาแห่งความฝัน..
เวลาที่คุณตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงร้องเพลงของนกกระจอก
และพร้อมกับกลิ่นสะอาดสดชื่นของมวลสิ่ง
ข้างๆ มีคนที่เรารักนอนอยู่ สัมผัสพวกเขา และจูบพวกเขา
เวลาที่ใบหน้าของเราได้สัมผัสกับน้ำอุ่น ๆ จากฝักบัว
เวลาที่บ้านของเราอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของขนมเค้กยามเช้า
เวลาที่เราถือแก้วกาแฟอุ่น ๆ ขณะที่อากาศนอกบ้านหนาวเย็น



เวลาที่เราตัดลูกมะนาวจากต้นที่เราปลูกเอง
เวลาที่เรารับรู้ว่าสายลมพัดปะทะใบหน้าของเรา
เวลาที่เรารู้สึกว่าความคิดของเราว่างเปล่าที่สุด เมื่อเราลอยเคว้งอยู่ใต้น้ำ



เวลาที่เรายังคงทำอะไรต่อมิอะไร เหมือนกับที่เราเคยทำสมัยเด็ก ๆ
เวลาที่คนอื่นต่างวิ่งถือร่มหลบฝน แต่เรายังคงยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนนั้น
เวลาที่เราเดินบนหญ้าที่เปียกชุ่มด้วยเท้าเปล่าของเรา



เวลาที่เราถือลูกโป่งออกไปเดินเล่นข้างนอก
เวลาที่เราเชื่อมั่นในบางสิ่งที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยเหตุผล
อย่างเช่น เชื่อว่าแมลงเต่าทองเป็นตัวนำโชคลาภมาให้
เวลาที่เราไม่กลัวอะไรเลย
เวลาที่เราทำอะไรบางอย่างที่ดูไม่สมวัยเอาซะเลย
เวลาที่ได้ยินเสียงคลื่นกระทบหาดทาย



เวลาที่เราได้สัมผัสโลกด้วยเท้าสองข้างของเรา
เวลาที่เราไม่ได้คิดถึงเรื่องใด ๆ เลย
เวลาที่มีคนกระซิบบอกความลับบางอย่างกับเรา
และ.....เวลาที่เรานั่งมองดูพระอาทิตย์ตกดิน....



แม้ว่าคนอื่น ๆ จะรู้ว่าเรามองไม่เห็นพระอาทิตย์หรอก....
....เพราะผมตาบอดนั่นเอง........

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

นั่นอะไร?

ชายชราคนหนึ่ง นั่งอยู่ในสวนหน้าบ้าน กับลูกชายวัยทำงานของเขา
ชายชรานั่งเหม่อลอยตามประสาคนแก่
ส่วนลูกชายนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่...ทั้งสองนั่งนิ่งอยู่บนม้านั่งยาวกลางสวน โดยไร้ซึ่งบทสนทนาใด ๆ
สักพักมีนกกระจอกตัวหนึ่งบินมาเกาะที่กิ่งไม้



ชายชราผู้เป็นพ่อถามลูกว่า "นั่นอะไร"
"เออ...นกกระจอก" ลูกชายตอบโดยสายตายังไม่ละจากสิ่งที่ตนกำลังอ่าน
ชายชราถามขึ้นด้วยคำถามเดิมว่า "นั่นอะไร"
"ก็ผมบอกพ่อไปแล้วงัย ว่า นกกระจอก" เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ปนรำคาญ

สักพัก นกกระจอกตัวนั้น ก็บินมาใกล้ ๆ สองพ่อลูก มาหยุดอยู่ที่สนามหญ้า ร้องจิ๊บ ๆ กระโดดไปมา
ชายชราถามขึ้นอีกว่า "นั่นอะไร"
คราวนี้ ลูกชายวันกลางคนตอบเสียงดังว่า
"ผมบอกพ่อไปกี่ครั้งแล้ว ว่านั่น คือ นกกระจอก
นก - กระ - จอก พ่อเ้ข้าใจมั้ย พ่อรู้จักมั้ยนกกระจอกนะ ทำไมพ่อจึงถามเซ้าซี้อยู่ได้"
เขาย้ำคำว่านก-กระ-จอก พร้อมกับหันหน้ามาตะคอกใส่หน้าผู้เป็นพ่อ



ชายชราได้แต่นั่งนิ่ง ๆ ไม่ตอบโต้ใด ๆ
สักพักชายชราก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้าน
ลูกชายถามว่า "แล้วพ่อจะไปไหนนะ"
เขาไม่ตอบ...ได้แต่เดินก้มหน้ากลับเข้าไปในบ้าน

ไม่นาน ชายชราเดินออกมาจากบ้านพร้อมถือสมุดเล่มเล็ก ๆ มาด้วย
เขาเปิดสมุดและยื่นให้ลูกชาย
พร้อมกับสั่งว่า "อ่านนี่ซะ.."

ลูกชายทำท่างงๆ
ชายชราย้ำอีกว่า "อ่านดัง ๆ"
เขาอ่านด้วยเสียงดังว่า

"เช้าวันหนึ่ง ผมไปเิดินที่สวนสาธารณะกับลูกชายคนเล็กของผม
เขาเพิ่งจะอายุได้สามขวบเอง
ขณะนั้นมีนกกระจอกบินมา
เขาถามผมว่า "นั่นอะไร"
ผมตอบว่า "นั่นคือนกกระจอก"
แล้วเขาก็ถามผมอีกว่า "นั่นอะไร"
ผมก็ตอบว่า "นั่นคือนกกระจอก" แล้วเขาก็ถามซ้ำไปซ้ำมา
ผมก็ตอบเขาทุกครั้งว่า "นั่นคือนอกกระจอก"
และทุกครั้งที่เขาถามผม ผมจะกอดเขาไว้
ผมไม่ได้โมโหหรือรำคาญในความไร้เดียงสาของเขาเลย
ผมกลับมีความสุขที่ได้ตอบคำถามเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ของเขาถึง ๒๑ ครั้ง"



เมื่อลูกชายอ่านข้อความในสมุดเล่มนั้นจบ
เขานิ่ง.....สักพัก
แล้วเขาก็กอดชายชราผู้เป็นพ่อ พร้อมกับร้องไห้
และเสียใจในสิ่งที่ได้ทำไป....

............................................................................................
ไม่รู้สิครับ...ผมเลือกที่จะถอดความคลิปนี้ ออกมาเป็นเรื่องราวผ่านตัวอักษร
เพื่อเก็บไว้อ่านเล่น ๆ ในช่วงวาเลนไทน์นี้
เผื่อว่า...หลายคนจะได้คิดถึงความรักของพ่อ ในวันแห่งความรักบ้าง
อย่ารำคาญผู้เป็นบุพการีของเราเลย...
แม้ท่านจะทำอะไรให้เราไม่พอใจบ้าง...
เพราะที่ผ่านมา ท่านต้องอดทนกับสารพัดเรื่องงี้เง่าที่เราทำไว้
ปีนี้ขอให้ทุกท่าน ฉลองวันแห่งความรัก อย่างมีความหมายนะครับ





เรื่องจาก คลิปวิดีโอนี้เป็นหนังสั้นจากประเทศกรีกที่ทำขึ้นในปี 2007 
กำกับโดย Constantin Pilavios

V-a-l-e-n-t-i-n-e

ใกล้จะถึงวันวาเลนไทน์แล้ว...
หนุ่มสาวรอให้ถึงวันนั้น เพื่อจะได้แสดงออกถึงความรักที่พวกเขามี
พวกเขามอบดอกไม้...ที่แสนจะแพงเกินกว่าที่เคยเป็น 
มอบของขวัญ...ที่คิดว่าน่าจะพิเศษกว่าชิ้นไหน ๆ ที่เคยให้
มอบช็อกโกแลต...แม้ว่าจะเป็นเมืองร้อน และมันอาจละลายได้ก็ตาม
 หรือมอบสิ่งอื่น ๆ แก่คนที่พวกเขารัก

บางคู่ก็พาลไปถึงเรื่องสัมพันธ์ฉันชู้สาว
ที่คิดไปเองว่า วันนี้คงเป็นฤกษ์งามยามดี

บางคนคิดเพียงอย่างเดียวว่า
วันที่ ๑๔ กุมพาฯ คือ วันของพวกเขาสองคนเท่า คนอื่นไม่เกี่ยว

สำหรับเราคริสตชน..
ในวันแห่งความรักนี้ ขอให้เราได้คิดถึงความรักของพระเ้จ้า
ที่พระองค์ทรงมีต่อเรา...
คิดถึงพระองค์สักนิดนึง...
ก่อนที่จะคิดเรื่องคนรักของเรา


พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก
จึงพระประทาน
พระบุตร
เพียงพระองค์เดียว
ของพระองค์
เพื่อทุกคน
ที่มีความเชื่อในพระบุตร
จะไม่พินาศ
แต่จะมีชีวิตนิรันดร
ยน ๓:๑๖

และสุดท้าย.....
ขอให้เราได้คิดถึงคนที่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสความรัก
แม้แต่ความรักของแม่บังเกิดเกล้าของเขา
ภาวนาเพื่อเด็กที่ไม่มีโอกาสเหล่านั้นด้วย.
...
....
.....
......

เนื้อหาและรูปภาพในบล็อกนี้ แม้จะไม่ใช่มืออาชีพ..แต่ถ้าจะนำไปใช้ในการอื่น ขอให้แจ้งเจ้าของบล็อกนิดนึงนะครับ
สงวนลิกขสิทธิ์ตามพ.ร.บ. ครับ...