Edit title Here

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่
นักคิดร้อยคำ นักธรรมร้อยใจ
วันนี้มีอะไรใหม่ ๆ เสมอในชีวิต
อย่างน้อยก็มีความรักของพระเจ้า
เป็นความรัก...ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง...
และอยู่กับเราเสมอ...แม้เราจะไม่ค่อยใส่ใจก็ตาม
Enter
BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

Duomo Milano

หลังจากที่เ้ก้ ๆ กัง ๆ มาตั้งนาน
ติดสินใจไม่ได้ว่าจะไปดีไม่ดี...แต่ในที่สุด ก็แพ็คกระเป๋าเดินทางไปที่เมืองมิลาโน่
เพื่อไปเยือน Duomo Milano อันสวยสง่่างามตามคำเล่าลือ
ที่สุดก็ได้ยลแบบแนบเนื้อใกล้ชิดสนิทตา
เต็มอิ่มกับความตระง่าโอฬารท่ามกลางฝูงชน
ทั้งนักเรียน นักช๊อป และนักล้วง...ปะปนกันไปหมด

พอได้ที ที่บล็อกสามารถรองรับความใหญ่ของภาพได้
ก็ได้ลงกันแบบเต็ม ๆ 
ที่ผ่านมาการย่อภาพของผมทำแบบลวก ๆ ไม่ได้พิถีพิถันอะไร
แต่คราวนี้ของจัดแบบเต็ม ๆ ซะหน่อย
และคราวต่อไปก็จะพยายามทำรูปให้ดูดีหน่อยก่อนลงบล็อก..
ถ้ามีเวลานะ ...กลัวว่าจะไม่มีนี่ซิ

ชมกันเลยละกันนะครับ

๑. ถ่ายด้านข้างพระวิหาร วันนี้เมฆและท้องฟ้าสีสวยมาก...ถูกใจจ๊อช




๒. ถ่ายระยะไกลเพื่อจะได้ทั้งตึกและ Duomo...ตึกนั้นสำหรับนักช๊อปของแพง..คล้าย ๆ บันไดสเปนนั้นแหละ




๓.ด้านหน้าของอาคาร เ้น้นรายละเอียดและลวดลายด้านบน งามจริง ๆ เรย




๔. ภายในพระวิหาร...งุงิ ๆ ภาพนี้ noise กระจุย ใส่ ISO สูงไปนิดนึง (ไม่นิดหรอก) ก็มันมืดนิ..ขากล้องก็ไม่ให้ใช้...




๕. กระจกสีด้านหลังพระแท่น..ต้องอ้อมไปด้านหลังจริง ๆ จึงจะมองเห็น เป็นเรื่องราวของบรรดานักบุญทั้งหลาย ใส่เอฟเฟ็กนิดนึง เพื่อให้เป็นภาพในฝัน (ฝันกลางวัน)




๖. โชว์ทางเดินตรงกลางของพระวิหารไปสู่พระแท่น ถ่ายเอียงไปนิดนึง เพราะเค้าบล็อกไม่ให้ยืนตรงกลาง ทำไมถึงทำกับฉันได้...




๗. พระแท่นวัดน้อย...หมดไม่รู้จะบรรยายอะไร มิค่อยมีความรู้...ไปแบบปุปปั๊บยังไม่ได้อ่านข้อมูลไปเรย




๘. ถ่ายด้านข้าง...กะให้เห็นความอลังการของเสา...เสาที่นี่ผมชอบ มันไม่ได้กลมเหมือนที่วาติกัน ถ้าตัดเฉือนเป็นแผ่น ๆ มันจะเป็นรูปดอกไม้เรย...




๙. อีกภาพดีมั้ย...กับด้านหน้ามหาวิหาร...ภาพนี้จัดซะอึมครึมเรย...แต่ชอบนะ...โทนน้ำเงินเทา





๑๐. และปิดท้ายด้วยภาพนี้...ขาดไม่ได้ หนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก..หมูบินได้....กระโดดที่มิลาน...ครั้งนี้ต้องระวังกางเกง เดี๋ยวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย





วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553

ขนมปังที่ต้องพกติดตัว

หากว่าเราแต่ละคน รู้จักหยิบยื่นสิ่งดีดี ที่เรามี ให้กับผู้อื่น
แม้ไม่ใช่สิ่งใหญ่โต หรือมีคุณค่าราคาอะไรมากนัก
แต่หากทุกคนนำมันออกมา
ก็จะกลายเป็นสิ่งใหญ่โตและประมาณค่ามิได้



การให้คือการเิติมเต็มให้โลกใบนี้น่าอยู่ด้วย "น้ำใจ"
เป็นน้ำใจที่คนในสังคมมอบให้แก่กันและกัน โดยไม่แบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ และการศึกษา
หากแต่ว่า ก่อนที่เราจะให้อะไรใคร เราต้อง "มี" เป็นทุนไว้ก่อน

ผมขอเรียกปลาสองตัวที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาแจกให้ประชาชนกินนั้นว่า
ปลาทู (Two) ทู ในที่นี้ หมายถึง สอง เพราะมีปลาอยู่สองตัวนั้นเอง
เพราะฉะนั้นการใ้ห้จึงเป็นแบบ Two ways... คือได้รับทั้งไปและกลับ
การให้นั้นทำให้เกิดความสุข
เป็นความสุขที่เดินทางไป และกลับ


ขาไปให้ความสุขแก่คนรับ


ขากลับให้ความสุขแก่คนให้

(ฟังดูเหมือนจะคมนะ)

ส่วนขนมปังห้าก้อนนั้น หมายถึง "สิ่งที่เราต้องให้สำหรับตัวเอง"
เป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้เป็นทุน สำหรับแบ่งปันแ่ก่ผู้อื่น

ขนมปังก้อนแรก
เริ่มต้นที่การให้กำลังใจตนเองในเวลาที่ท้อแท้
เพื่อที่จะรู้จักแบ่งปันกำลังใจให้แก่ผู้อื่น

ขนมปังก้อนที่สอง
ให้อภัยตัวเองด้วยการพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" หรือ "ช่างเถอะ"
เพื่อที่จะรู้จักให้อภัยแก่ผู้ือื่น

ขนมปังก้อนที่สาม
ให้โอกาสแก่ตนเองได้แก้ไขข้อผิดพลาด
เพื่อที่จะรู้จักมอบโอกาสให้แก่ผู้อื่น

ขนมปังก้อนที่สี่
ให้รอยยิ้มแก่ตนเองทุกวัน
เพื่อที่จะรู้จักแบ่งปันรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่น

และขนมปังก้อนสุดท้าย ขนมปังก้อนที่ห้า
ให้ความรักแก่ตนเอง
เพื่อที่จะรู้จักแบ่งปันความรักให้แก่ผู้อื่น

"หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังไม่เคยเป็นผู้ให้
ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นการให้แก่ตนเองและแก่ผู้อื่น"

(คัดจากส่วนหนึ่งของเรื่อง ขนมปังที่ต้องพกติดตัว จากหนังสือ เริ่มต้นที่ดินดี)

เพื่อนผม...อีกคน...

ดีใจจัง...วันนี้เพิ่งเข้ามาอัพบล็อก...
ก็พบว่า ทาง Blogspot ได้ปรับปรุงการนำเข้ารูปภาพ ให้มีขนาดใหญ่เท่าขนาดเดิมของไฟล์รูป
ทีนี้เราก็มาเพิ่มขนาดกัน ให้เห็นชัด ๆ ว่า ภาพของเราเจ๋งแค่ไหน...



วันนี้ ผมไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่งของผม..

เพื่อนคนหนึ่งของผม...
เราไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาหรอก...
เราเจอกันเป็นบางครั้ง...
ทุกครั้งที่เจอกัน ..เพื่อนคนนี้ไม่เคยบ่นว่าอะไรกับผมเลย
บางครั้งเขาก็ทำให้ผมหัวเราะ บางครั้งก็ทำให้ผมเศร้า..และบางครั้งก็ทำให้ตื่นเต้นได้เหมือนกัน
บางครั้งเขาก็ร้องเพลงให้ผมฟังนะ..เป็นเพื่อนที่แก้เหงาได้จริง ๆ
บางครั้งเขาก็มีของเล่นอะไรมากมาย ที่รอให้ผมมาเล่นกับเขา
เขาช่วยผมทำงานได้อย่างดีเลย...บางครั้งก็ช่วยผมพิมพ์งาน แปลงาน
นับว่าเขามีความสามารถจริง ๆ

ที่สำคัญนะ...บางครั้งเขาก็เป็นคนกลางระหว่างผมกับเพื่อน ๆ ของผม...
เขาพาผมไปพูดคุย พบปะกับคนนั้นคนนี้...โดยไม่เกี่ยงงอนเลย

เขาเป็นอัธยาศัยไมตรีดีมาก เขาต้อนรับทุกคน...
ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่ดี
จนบางครั้งคนที่เขาต้อนรับเข้ามาก็ทำให้เขาเดือนร้อน...
ทำให้เขาอารมณ์แปรปรวน....จนเดือนร้อนมาถึงผม...ที่จะต้องช่วยเขาแก้ไขปัญหาต่าง ๆ

แต่บางครั้งเขาก็นิ่งไปเฉย ๆ อย่างไร้เหตุผล
ไม่พูดไม่จา...ทำให้ผมงงได้อีก
เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบ...

แต่อย่างไรก็ตาม..เมื่อเขาหายดี...
เขาก็เป็นเพื่อนที่ดีของผมต่อไป....

เพื่อนคนนี้ชื่อ เลโนโว่...
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คคู่ใจของผมเอง......

บันทึกขณะนั่งรถไฟ.....Eurostar
รถไฟที่มีปลั๊กเสียบบนที่นั่ง....โคตรเจ๋งดูหนังตลอดทางเรย..ซะใจ
ผมก็ดูกับเพื่อนของผมคนนี้แหละครับ

เถียงนาน้อย..ของข่อย

“บ้านของพี่ทำนา ทำนา ปลูกข้าวทุกเมื่อ...”

บ้านผมก็ทำนาเหมือนกัน...
ที่นาของเรา...อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก...
ตอนเด็ก ๆ ผมชอบวิ่งไล่จับตั๊กแตน...
ชอบเล่นน้ำในนา...
ชอบฟังเสียงจิ้งหรีด..แมงจีซอน..(ไม่ใช่ภาษาเกาหลีนะครับ)

กระท่อมที่ปลาย หรือ ที่พวกเราเรียกว่า “เถียงนาน้อย”
เถียงนาของพวกเรา...แตกต่างจากของคนอื่น ๆ  คือ มันไม่มีบันใด
พวกเราใช้รากของต้นค้อ..ที่โผล่โค้งงอขึ้นมาแล้วก็ปักลงไปในดินอีกทีหนึ่ง...
มันโค้งได้ที่จริง ๆ ปู่ผมก็เลยปลูกเถียงนาน้อยคล่อมลงไป...
พวกเราก็ไต่รากต้นค้อ...ขึ้นเถียงนานได้สบายเลย...
นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมยังจดจำอยู่เสมอ...

อีกสิ่งหนึ่งคือ...เตาไฟ แบบง่าย ๆ
พ่อแม่ขุดคันนา...เจาะได้ข้าง..แล้วด้านบน...
ให้ทะลุชนกัน...ข้างบนเจาะให้พอวางก้นหม้อ...
แล้วก็ยัดฟืนเข้าได้ข้าง....แค่นี้ก็ได้เตาไว้ทำกับข้าวสบาย ๆ  เลย...

พูดแล้วก็อยากกลับไปเยี่ยมที่นาอีก...

วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553

ภาพเล่าเรื่อง...


วันนี้ไม่มีเรื่องเล่า...
มีแต่ภาพ...ปล่อยให้ภาพเล่าเรื่องจะดีกว่า...
เพราะบางคนก็ชอบดูรูปภาพอย่างเดียว..
ไม่ค่อยชอบอ่านเท่าไหร่...

ส่วนผมก็รู้สึกเหนื่อย ๆ 
ช่วงนี้เพลีย ๆ
ใกล้เปิดเทอมแล้ว
และใกล้สอบแล้วด้วย...

เพลียใจชะมัด...
อ่านอะไรก็ไม่เข้าสมอง..
สงสัยเห็นทีจะต้องกลับเมืองไทยไปพักสมองบ้างแล้วละ..
พักสักสี่ห้าปีไปเลย..เอาให้สบายใจ...

วันนี้มีภาพ..ที่วาดไว้อยู่สามภาพ..
ภาพแรกวิวเมืองเวนิส(อีกแล้ว)
ภาพที่สอง..เป็นภาพที่ผมเลียนแบบจากศิลปินที่ผมชื่นชอบ
ผมชอบแนวภาพของเขา เลยลองทำดูบ้าง
ส่วนภาพที่สาม..เป็นภาพกระท่อมบ้านดิน..บ้านดินที่เคยเล่าไว้ในตอนที่แล้ว ๆ มางัย...
เชิญชมภาพครับ..








วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

รักเก่า...ที่บ้านหลังเก่า...

ตราบใดที่ไม่มีใครสามารถ...
ดึงพระอาทิตย์ให้ตกทางทิศตะวันออกได้...
ตราบนั้นเวลาก็ยังคงหมุนไปข้างหน้าเสมอ...
และไม่มีใครย้อนเข็มนาฬิกาไปหาเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตได้...

เคยไหมครับ...??
ที่เกิดอาการเสียดายเวลา...เสียดายสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา...
เสียดายที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ..

ผมโตมาในบ้านหลังเก่า ๆ หลังหนึ่ง...
เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว...แต่ยกสูงจากพื้นประมาณเมตรนึง
พอที่จะให้เด็ก ๆ คลานลอดใต้ถุนไปเก็บเศษเหรียญได้
รูปทรงของบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยม..มุงสังกะสี
แผงประตูไม้หน้าบ้านสามารถเปิดออกได้ทุกบาน...
เพราะเมื่อก่อนเคยเป็นร้านขายของชำของปู่กับย่า...
บ้านหลังนี้ไม่มีบานหน้าต่าง...มีแต่แผ่นไม้ไผ่สานเก่า ๆ
หน้าบ้านมีโอ่งแดงใหญ่ ๆ เอาไว้เก็บน้ำฝน...


บ้านรูปสี่เหลี่ยมผืนบ้าน...
มีด้านหน้าเป็นระเบียงติดกับถนน มีรั้วซอมซ่อกันไว้อยู่
ข้างระเบียงมีตุ่มน้ำดื่มสองตุ่ม..
ที่ทำขาตั้งไว้ต่างหากจากตัวบ้าน
ถ้าจะดื่มก็ต้องใช้กระบวย..และยื่นตัวออกไปตักมาดื่ม...
ส่วนกลางของบ้านเป็นห้องนอน เราใช้ตู้เสื้อผ้าแบ่งเป็นล็อค กั้นไว้ทำเป็นห้องนอน
ส่วนถัดไปด้านหลังเป็นครัว...ห้องครัวที่มีสารพัดอย่าง...
มันเป็นห้องเก็บของกราย ๆ...
ส่วนหลังบ้านที่เป็นชานไม้ต่อออกไป..เป็นที่อาบน้ำ ล้างจาน ซักผ้า...
พื้นเป็นไม้ลำกลม ๆ วางเรียงกัน...เหมือนพื้นกระท่อมปลายนา ยังงัยยังงั้น...

นอกจากมีบ้านแล้ว ยังมีโรงสีเก่า ๆ เอาไว้สีข้าวเปลือกกิน รวมทั้งข้าวของชาวบ้านด้วย
ผลพลอยได้จากการมีโรงสี คือ การเลี้ยงหมู
เราเอารำที่ได้จากการสีข้าว ไว้เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่...แล้วเลี้ยงควายด้วย..
ควายที่บ้านผมกินรำด้วยนะจะบอกให้

นอกจากนั้นก็มียุ้งฉางเก็บข้าวเปลือกอยู่สองหลัง
หลังหนึ่งสำหรับข้าวจ้าว อีกหลังสำหรับข้าวเหนียว...
ใต้ถุนฉางข้าวเป็นคอกหมู...สาระพัดประโยชน์จริง..ๆ

ที่ผมเล่ามาทั้งหมด...เป็นเพียงภาพในอดีต...
ที่ตอนนี้หาดูไม่ได้แล้ว...
และก็ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย..
คงเหลือแต่ความทรงจำเท่านั้น...

ที่บ้านหลังนี้มีเรื่องรวมมากมาย...
มันมีเรื่องเล่า...เล่าเท่าไหร่ก็ไม่จบ...
ผมและน้อง ๆ อีกสามคน
เราเกิดที่นี่...เกิดที่ห้องครัวซอมซ่อของเรา...
แม่ไม่เคยไปฝากท้อง..ไม่เคยให้สูตินารีแพทย์ตรวจ...
มีแต่หมอตำแยประจำหมู่บ้าน..ที่ืชื่อ ยายหนูเีพียง...
บ้านยายหนูเพียงอยู่ใกล้ ๆ บ้านผมเอง...
มีอะไรก็เรียกใช้กันได้...

อันที่จริงผมก็จำบรรยากาศที่แม่เจ็บท้องไม่ได้หรอก
จนมาถึงตอนแม่คลอดน้องชายคนเล็กของผม...
ตอนนั้นผมจำได้..ผมตื่นเต้นมาก ๆ
ผมไม่รู้ว่าแม่ผมรู้สึกอย่างไร...
แต่ตอนแม่คลอด แม่เีรียกหาพ่อผมตลอด...
เพราะว่า ตอนนั้นพ่อผมไม่อยู่บ้าน..
พ่อไปใช้แรงงานที่ต่างประเทศ...
แม่คงคิดถึงพ่อมาก...
และพ่อก็คงเป็นห่วงแม่ผมเหมือนกัน...

นี่เป็นเพียงเรื่องราวเล็ก ๆ เท่านั้นเอง...

ถึงตอนนี้ ...
ผมเลยตัดสินใจนึกภาพบ้านหลังเก่า..
ซึ่งตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยบ้านหลังใหม่...
จิตนาการ...แล้วก็วาดมันออกมา้ด้วยสีน้ำ..
เชื่อไหมครับ..หลังจากที่ผมวาดเสร็จ...
น้ำตาผมแทบไหล...ผมคิดถึงบ้านมากเลย...
ผมดูแล้วดูอีก...จับแล้วจับอีก...
มันตื้นตันใจ..เหมือนกันว่า...ผมได้เรียกความทรงจำนั้นกลับคืนมาอีก....
และผมอยากให้พ่อแม่ ปู่ และน้อง ๆ ของผมได้ดู
ผมคิดว่า พวกเขาคงจะดีใจน่าดู



ผมจึงอยากจะบอกเพื่อน ๆ ว่า...
ใครก็ตามที่มีบ้านหลังใหม่...
อย่าได้ลืมบ้านหลังเก่าเลย...เก็บมันไว้เป็นความทรงจำ..
เราจะสังเกตได้ว่า...บรรดาผู้ใหญ่..เมื่อหวนคิดถึงเรื่องเ่ก่า ๆ เขาจะเล่าด้วยน้ำตาคลอ...
จึงอยากให้เพื่อน ๆ ได้เก็บภาพต่าง ๆ ไว้...
ถ่ายภาพบ้านหลังเก่า...ก่อนที่จะรื้อมันออกไป...
ของเก่า ๆ ที่เป็นของพ่อแม่...ก่อนที่จะทื้งมัน ขอให้คิดให้ดีก่อน...
ไม่งั้น...คุณจะคิดถึงมัน...
และจะหามันไม่เจอ..

เก็บเอาไว้นะครับ...รักเ่ก่า..ที่บ้านหลังเก่า...

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

enjoy your life สนุกกับมัน...ให้เต็มที่

วันนี้มีเรื่องจะเล่าให้ฟังอีกเรื่องหนึ่ง
เป็นการเก็บตกชีวิตเจ้าวัดตัวสำรองที่ Montecerignone
ที่อยากจะเล่าก็เพราะว่าดันไปถ่ายรูปไว้ซะเยอะ...เลยไม่รู้ว่าจะเอามาแบ่งปันอย่างงัย
ก็ได้แต่เล่าเรื่องไปวันวัน

ในหมู่บ้านมีการแข่งขันฟุตบอลของเด็ก ๆ 
มีทั้งหมดสามทีม มีทั้งเด็กหญิงและเด็กชายปะปนกัน
เด็กโตก็เล่นได้ แต่มีกฎห้ามยิงประตู...
งานนี้ฮีโร่ของเราเลยมีแต่เด็กตัวเล็ก ๆ ที่ทำประตูกันกระหน่ำ








ชาวบ้านบอกว่า
"คุณพ่อมีจิตใจเป็นนักกีฬาจริง ๆ
ทั้งเล่นเทนนิส ฟุตบอล และเบตอง(กันคนแก่)"
ครับผมชอบเล่นกีฬา
และชอบดูกีฬาด้วย
ถ้าดูทีวีเพื่อผ่อนคลายก็ไม่พ้นช่องกีฬาและช่องหนัง...

ชาวบ้านยังแนะนำผมอีกว่า
"ถ้าคุณพ่อไปที่หมู่บ้าน
คุณพ่อจะเจอคนมากกว่าที่วัด...???"

อันนี้เป็นความจริง บางคนผมก็ไม่เคยเห็นหน้าเลย
บางคนก็ไม่รู้จักผม ซุบซิบกันว่า "ไอ้หน้าหล่อชาวเอเชียคนนี้เป็นใคร?"
อะนะ ผมก็แอบแปลเข้าข้างตัวเองบ้าง






บางคนผมทักทาย...เขาก็ไม่ยอมทักกลับ...
แต่ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร..ถือว่าเขาเป็นคนรอบครอบที่ไม่พูดกันคนหน้าแปลกอย่างผม

ความจริงประการหนึ่งก็คือ...
ปัจจุปันนี้ มีคนไม่ศรัทธาในพระเจ้ามากขึ้น...
บางคนเป็นคาทอลิกเมื่อรับศีลล้างบาป จากนั้นก็ไม่มาวัดอีกเลย
ซ้ำร้าย พาลไปถึงลูกหลาน..เมื่อพ่อแม่ไม่มา ลูกหลานก็ไม่ได้มาสิครับ...






ที่สนามฟุตบอลนี้เต็มไปด้วยเด็ก ๆ และผู้ปกครอง..
ผู้ปกครองเค้ามาให้กำลังใจลูก ๆ แบบเป็นล่ำเป็นสัน..
เหมือนในหนังฝรั่งอะนะ ถ้าลูกได้ลงแข่งหรือได้แสดงอะไรก็จะมานั่งเฝ้ากันเลยทีเดียว...
ถ้าเป็นบ้านเรานะ..."มึงจะไปเล่นที่ไหนก็ไปเลย" ....ตรูไม่สนใจหรอก...
เป็นงั้นไป...






เมื่อแข่งครึ่งแรกจบ ก็พักยกกันก่อน
ผมเหลือไปเห็นตัวอักษรของเสื้อกรรมการ เขียนไว้ว่า "Enjoy!"
แปลว่า จงมีความสนุกสนานเถิด....(สำนวนการแปลยังกับ พระวรสาร ซะงั้น)
มันเป็นคำง่าย ๆ แต่ได้ใจความ....เข้ากับการแข่งขันกีฬาวันนี้จริงๆ 
การแข่งขันนั้นไม่จำเป็นต้องเน้นที่แพ้หรือชนะ แต่เน้นที่ความสุข สนุกสนานและความสัมพันธ์มากกว่า




ถ้าจะเล่นก็ให้เล่นอย่างมีความสุข...Enjoy กับมันให้เต็มที่
แต่อย่าลืมว่าชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว...มีด้านอื่นที่สำคัญกว่านี้อีกด้วย

เมื่อครั้งที่ผมเป็นเณรเล็ก...เล็กมาก ๆ ประมาณ ม.๑ หรือ ม.๒ นี่แหละ
มีคุณพ่อองค์หนึ่งให้คำแนะนำเรื่องกระแสเรียกผม...
คุณพ่อเป็นคนค่อนข้าง "ขวานผ่าซาก"
ท่านพูดว่า "มึงอย่างเป็นพระสงฆ์เหรอ?....
มีหลักปฏิบัติง่าย ๆ คือ
เขาให้เรียน...ก็เรียน
เขาให้สวด...ก็สวด
เขาให้กิน...ก็กิน
เขาให้นอน...ก็นอน
เขาให้เล่น...ก็เล่น
เขาให้ทำงาน...ก็ทำ
แค่นี้เอง...มึงก็ได้เป็นพระสงฆ์แล้ว.."

ผมฟังแล้ว สะอึกไปหลายรอบ...
ในคำพูดของพ่อคนนั้น..มันมีความจริงที่แฝงอยู่...
"ถ้าอยากเป็นพระสงฆ์...หมายถึง ก็แค่ได้บวชอะนะ..แต่จะดีหรือไม่ดีก็อีกเรื่อง"
อันที่จริงก็น่าคิด ..คนที่ออกจากการเป็นเณร
หลายคนก็ไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น...

เวลาเรียน...กลับโดดเรียน
เวลาสวด...กลับนอน
เวลากิน...กลับออกไปข้างนอก
เวลานอน...กลับเล่น
เวลาเล่น...กลับหางานทำ
เวลาทำงาน...กลับหาเรื่องเรียนหรือทำการบ้านไป..

ก็เพราะมันไม่ลงตัวอย่างนี้งัย..ชีวิตมันเลยรู้สึกว่า "ไม่ใ่่ช่"
พอมันรู้สึกอย่างนั้น...ก็หาสาเหตุว่า มันคงไม่ใช่กระแสเรียก...
ก็เลยหันเหไปทางอื่นซะงั้น...

หลักการที่พ่อคนนี้ให้ผมมา...
แม้มันจะไปใช่เหตุผลหลักทางชีวิตฝ่ายจิต..ในการอบรมชีวิตการเตรียมตัวเป็นพระสงฆ์ก็ตาม
แต่มันเป็นหลักขึ้นพื้นฐาน....ที่ควรปฏิบัติให้ได้....และเป็นหลักที่สำคัญด้วย..

ย้อนกลับมาถึงการเล่นฟุตบอลของเด็ก ๆ
หลายคนในจำนวนนักฟุตบอลนั้น...เป็นเด็กช่วยมิสซาด้วย...
ถึงเวลาเล่นพ่อแม่ก็ส่งเสริมให้เล่นเต็มที่
ถึงเวลาไปเรียนก็ต้องไปเรียน แม้ในวันหิมะตกหนัีกก็ตาม
ถึงเวลาไปวัด..พ่อแม่ก็ปลุกลูกแล้วพาไปวัด...ช่วยพิธีมิสซา....

อย่างนี้สิครับ...ถึงจะเรียกว่า Enjoy your life with your duty.....
สนุกกับมันให้เต็มที่ตามกาลเวลาของมัน...

เหมือนกับคุณพ่อองค์หนึ่ง เมื่อครั้งเป็นเณร
พ่อองค์นี้ชอบบอกนี้รุ่นน้อง ๆ ว่า
"สนุกให้เต็ม...แต่อย่าทำบาป".....:D


วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

เซอร์ไพรซ์เล็ก ๆ


ในที่สุดก็ถึงวันที่ผมจะต้องออกเิดินทางต่อไป....
ถึงวันกำหนดที่ต้องออกจะวัด...
เพื่อมุ่งสู่โรม...กลับไปโรมรันฟันแทงกับการเรียนต่อไป...
สิ่งที่ผมไม่ลืมคือ ต้องโกยเอากำลังใจจากที่นี่ไปเยอะ ๆ....เพื่อวันที่ใจล้า...
จะได้มีสิ่งค้ำจุน...

ในวันนี้
พ่อเจ้าวัด คือ พ่อลูกกา...
แอบนัดหมายกับบรรดาป้า ๆ จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ
เพื่ออำลาพาจาก...คนต่างชาติอย่างผม..



เราทานอาหารเที่ยงร่วมกันหลังมิสซา
ผมไม่รู้มาก่อนว่าจะมีการจัด..
พ่อเจ้าวัดอำผมเล่นว่า...
จะพาผมไปยกของ...ขอแรงให้ผมไปด้วยหน่อย...
ผมก็เชื่อ...(เพราะซื่อใสบริสุทธิ์งัย)...และตามคุณพ่อไป
พอไปถึงก็เซอร์ไพรซ์...ในห้องนั้นเต็มไปด้วยป้า ๆ....ที่รอการแปลกใจของผม...
มิน่าละ...ผมก็ได้ยินเค้าคุย ๆ กันอยู่...
พออยู่ต่อหน้าผมเขาก็บอกว่า เงียบ ๆ หน่อย อย่าพูดเดี๋ยวผมรู้เืรื่อง..
อันที่จริงผมรู้เรื่องแล้วละ..
แต่ไม่รู้รายละเอียดแค่นั้นเอง...




มันเป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ ก็จริง..
แต่มันเต็มไปด้วยน้ำใจ...
ไม่มีฝ้ายผูกแขน ไม่มีเสียงดนตรี ไม่มีโฆษก...
มีแต่เรื่องเล่า...ที่น่ายินดี

อาหารก็ไม่มีอะไรมากมาย...
คนโน่นเอาอันนี้มา ...คนนั้นซื้ออันนี้มา..สมทบกัน...
กลายเป็นโต๊ะอาหารที่เกินห้าหมู่...(เพราะมีหมู่หลายคน)...
เมื่อทานเสร็จ...พวกเราก็เล่าเรื่องขำขันกัน
ตามประเพณีของชาวอิตาเลียน
เมื่อไร่มีงานเลี้ยง ก็ต้องตบท้ายด้วยเรื่องเล่า...
โดยจะพลัดกันเล่า...และก็พลัดกันหัวเราะ...
สนุกสนาน..


บางเรื่องผมก็ไม่ขำ
พวกป้า ๆ ขำกันมากจนฟันปลอมแทบจะหลุดออกมาจากปาก..
แต่ผมนั่งเอ๋อเร๋ออยู่...เค้าก็ใจดีนะ
พยายามอธิบายมุกให้ผมฟัง...แต่อธิบายยังงัยผมก็ไม่ขำ...ฮ่า ๆๆๆ
เพราะมันเป็นศัพท์แสลง...พื้นเมือง...


ถึงตามผมบ้างผมจัดไปหนึ่งดอก....ก็ขำพอสมควร...
หลายคนยกนิ้วให้..บอกว่าผมสอบผ่านแล้ว...
เพราะเล่าเรื่องตลกให้คนอิตาเลียนหัวเราะได้...
แฮ่ม...อันที่จริงเขาแกล้งหัวเราะให้กำลังใจผมหรือป่าวก็มิรู้...

แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี 
ขอขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับ
พ่อเจ้าวัดที่ใจดี...เป็นกันเอง
และบรรดาป้าๆ ทั้งหลาย...
พร้อมทั้งงานเลี้ยงที่น่ายินดี..


เราชาวนา...อยู่ที่ไหนก็ยังคิดถึง









เล่าเรื่องของ "มาริสา" มาก็หลายตอน..
วันนี้เลยพามาเยี่ยมบ้านของเธอ ผู้ขยันช่วยงานวัดมาตลอด

ตลอดที่ผมทำงานอภิบาลที่นี่
ก็มีเธอนี่แหละที่คอยประสานงานกับพ่อเจ้าวัดที่หยุดพักร้อน...
เพราะลำพังผม ซึ่่งพูดก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร คงจะไปไม่รอดแน่ ๆ

บ้านหลังเล็กของมาริสานั้น เป็นครอบครัวที่ดูอบอุ่นมาก ๆ 
สามีเธอชื่อ เทเรสซิเอโน่ 
ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนชื่อ "โลเรนโซ่" หรือ "โลรี่" 
แล้วยังมีแม่ของมาริสาและพี่ชายของเค้าด้วย..

มาริสาทำอาชีพเป็นเกษตรกร...
เลี้ยงวัว เลี้ยงหมู ทำไร่ ไถ่นา เลี้ยงไก่ เลี้ยงกระต่าย...
แต่ที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ไม่เหมือนบ้านเราเลยนะ...ของเค้าใหญ่และทำแบบเป็นกิจลักษณะ
ไม่เหมือนชาวนาบ้านเรา....


มาริสาได้เชิญผมมาทานข้าวเย็นที่บ้านสองครั้งด้วยกัน...
ครั้งแรกมาทานพิซซ่า โฮมเมด อร่อยดี พุงกางกลับบ้าน
ครั้งที่สองทานโปรชุตโต้ เมโลเน่ และมีของหวาน ฯลฯ...
ครั้งนี้ก็ได้ถ่ายภาพร่วมกัน
และโลรี่ได้พาผมชมสถานที่ต่าง ๆ...
สนุกดีครับ




เสียดายมีเวลาน้อย..
ผมกะว่าจะช่วยเขาทำงานอยู่เหมือนกัน
แต่เค้าบอกว่าไม่ต้องทำหรอก 
มันสกปรกและเหม็นด้วย...
หารู้ไม่ว่า ผมเป็นลูกชาวนานะครับ....






พอเล่าถึงตอนนี้ ผมก็คิดถึงเมื่อครั้งผมเป็นเด็ก ๆ 
ที่ิวิ่งเล่นตามท้องนา...
ไล่จับปู วิ่งจับหอย..ตกปลา...วางเหยื่อ..
ตอนเป็นเด็กไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่สนุกกับการเล่นน้ำในท้องนา
ไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องใด ๆ



พอโตมา...ตอนเป็นเณรเล็ก
ตอนนี้แหละครับ
ช่วงปิดเทอมผมและน้อง ๆ ต้องช่วยพ่อแม่ทำไร่ ไถ่นา
พวกเรามีทั้งหมดสี่คน....
จะผลัดกันไถ่นา..คนละหนึ่งบล็อก
เพราะฉะนั้น เราเลยไม่เหนื่อยเท่าไหร่
เพราะทำหนึ่งชั่วโมง ก็ได้พักอีกสามชั่วโมง กว่าจะมาถึงคิวเรา..




ใครว่าเป็นเณรแล้วจะสบาย...
บ้านคนอื่นคงเป็นอย่างนั้น
แต่สำหรับบ้านผม..พ่อและแม่ คอยลูก ๆ ที่ไปเป็นเณร (สามคน) กลับบ้าน
เพื่อให้มาช่วยทำนา...
จะได้แบ่งเบาภาระพ่อบ้าง...
แต่ก็มีความสุขดีเหมือนกัน
ที่เราได้อยู่พร้อมหน้า ได้ทานข้าวและได้ทำงานร่วมกัน



มาถึงเรื่องของมาริสาบ้าง...
บ้านมาริสาหลังไม่ใหญ่มาก
แต่มีแม่คอยจัดระบบระเบียบ ทำความสะอาด
บ้านเลยดูน่าอยู่มาก ๆ






หลังจากทานข้าว เราก็คุยกันสักพัก
ก็ได้คุยเรื่องกล้องด้วย
สมัยที่สามีเธอยังหนุ่ม สามีเธอก็ชอบถ่ายรูปเหมือนกัน
เลยคุยกันถูกคอ....



หลังจากนั้นก็กลับบ้าน...
พอมาถึงบ้านผมก็ไม่รอช้า..ทำตามแผนที่วางไว้
คือตั้งใจว่าจะวาดภาพบ้านของพวกเขา...เพื่อมอบให้เป็นที่ระลึก
เพราะเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ น้อย ที่ผมพอจะทำได้ เพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับน้ำใจดี
พอผมวาดเสร็จ..ก็จัดการมอบให้เธอ..
พอกลับไปถึงบ้านเธอ 
เธอเล่าว่า สามีเธอเห็นภาพวาดแล้วดีใจและตื้นตันใจมาก...
และกะว่าจะใส่กรอบแล้วแขวนไว้เพื่อจะได้คิดถึงกัน..
ขอบคุณจริง ๆ แต่อย่าเอาไปแขวนไว้ในห้องน้ำละกัน
เดี๋ยวจะคิม่ายออก.....




ผมว่า..การแสดงออกเล็ก ๆ น้อย ๆ 
ซึ่งเป็นการแสดงน้ำใจดีต่อกันนั้น มันมีความหมายมาก ๆ
สำหรับผมไม่ต้องเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
แต่ขอให้ออกมาจากความจริงใจ
แค่นี้โลกจะมีพื้นที่ความสุขเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย
เหมือนกับความสุขที่ผมได้รับจากพวกเขา
ทำให้ชีวิตบนภูเขาของผมไม่เหงา
และมีสีสันมากขึ้น....
ขอให้ทุกคนแสดงความน้ำใจดีต่อกันมาก ๆ นะครับ..
เป็นต้นเราคริสตชน..
เพียงแค่ฟังคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าเท่านั้นยังไม่พอ
ต้องออกผลด้วย...ต้องนำมาปฎิบัติ
โดยเริ่มจากคนรอบข้าง...และสิ่งละอันพันละน้อย...
แล้วมันจะค่อยเติบโต...เป็นต้นซินาปิส...ที่สามารถให้นกมาทำรังได้....
ผมเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ นะครับ....

เนื้อหาและรูปภาพในบล็อกนี้ แม้จะไม่ใช่มืออาชีพ..แต่ถ้าจะนำไปใช้ในการอื่น ขอให้แจ้งเจ้าของบล็อกนิดนึงนะครับ
สงวนลิกขสิทธิ์ตามพ.ร.บ. ครับ...