Edit title Here

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่
นักคิดร้อยคำ นักธรรมร้อยใจ
วันนี้มีอะไรใหม่ ๆ เสมอในชีวิต
อย่างน้อยก็มีความรักของพระเจ้า
เป็นความรัก...ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง...
และอยู่กับเราเสมอ...แม้เราจะไม่ค่อยใส่ใจก็ตาม
Enter
BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Peace in the World....จาริกสันติภาพ ณ อัสซีซี

"ขอให้เราเป็นเครื่องมือของสันติภาพที่มาจากเบื้องบน 
ขอให้เราตระหนักว่า มันจะไม่มีสันติภาพ ถ้าที่นั่นไม่มีความยุติธรรม  
ถ้าไม่มีความยุติธรรม มันจะไม่มีการให้อภัย 
ดังนั้น ขอให้เรานำสันติภาพไปมอบให้ทั้งคนใกล้และไกลตัวเรา 
มอบให้กับสิ่งสร้างและสรรพสิ่งทั้งมวล" (โดย popereport.com )





เมื่อไม่นานมานี้ ในวันที่ ๒๗ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๑๑
ณ ลานวิหาร นักบุญฟรังซิส อัสซีซี 
พระสันตะปาปา และผู้นำศาสนาใหญ่ ๆ ของโลก
ได้มารวมตัวกันเพื่อจุดเทียนและภาวนาเพื่อสันติภาพ
ผู้นำแต่ละศาสนา ได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับสันติภาพ
บางศาสนาก็กล่าวในภาษาของตนเอง เป็นภาพที่น่าประทับอย่างยิ่ง


ผมเองไม่ได้ไปร่วม แม้ว่าจะอยู่ใกล้ก็ตาม
คนไทยที่ไปร่วมงาน กลับมาเล่าให้ฟังว่า
งานนี้ถึงขึ้นปิดเมืองกันเลยทีเดียว ไม่ให้รถเข้าออก 
มีเพียงรถของผู้ที่ได้รับเชิญให้ไปร่วมเท่านั้นที่ได้เ้ข้าเืมือง


แต่ก็ได้ดูถ่ายทอดทางทีวี...........







จากประโยคที่ได้นำมาให้อ่านข้างต้นนั้น
ทำให้เรารู้ว่า "สันติภาพ" มีพื่นฐานอยู่ที่ "การให้อภัย"
ให้อภัยตัวเอง คนรอบข้าง และสรรพสิ่งทั้งมวล
เท่านี้ก็จะเกิดสันติภาพขึ้นในดวงใจ


หากแต่ละประเทศในโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศมหาอำนาจ
หรือประเทศมหาอำหิตก็ตาม
ถ้ารู้จักคำว่าสันติภาพอย่างถ่องแท้ ย่อมให้อภัยกันและกันได้เสมอ


ผู้นำศาสนาของโลก จับมือเรียกร้องสันติภาพ
ขณะเีดียวกัน ผู้นำประเทศบางประเทศจับมือกันเพื่อร่วมทำสงคราม
มันช่างขัดแย้งกันนัก


ผลลัพธ์ของสงครามมีแต่เสียกับเสีย
ผู้ที่คิดว่าตนเป็นฝ่ายชนะนั้น ที่แท้ไม่ใช่
เขาเป็นเพียงฝ่ายที่สูญเสียน้อยกว่าฝ่ายแพ้ต่างหาก


ส่วนผู้ที่แพ้หรือผู้ที่สูญเสียมากกว่า
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ นอกจากซากศพและซากอาคารแล้ว
นั่นคือ "ความแค้น"...ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเอาคืน ด้วยสงครามอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นสงครามจึงไม่มีว่าหมดสิ้น หากขาด "การให้อภัย"


ต่อให้ผู้นำศาสนามารวมกันเช่นนี้ทุกปี........
คงมิอาจต้านแรงแค้นของคนเพียงไม่กี่คนได้
แต่หากเราทุกคน เริ่มสันติภาพเล็กๆ ที่ดวงใจแล้ว
ผู้นำศาสนาต่าง ๆ ก็ไม่ต้องเสียเวลามารวมตัวกันเพื่อสันติภาพอีกต่อไป.........









วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2554

God's grace...พระคุณซ้อนพระคุณ




เมื่อไม่นานมานี้...รุ่นน้องคนสนิท ได้ส่งลิงค์บทเพลงไพเราะมาให้ดูให้ฟัง
ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะว่าชื่อเพลงมันดูแปลก ๆ (“มันดูแปลก ๆ” ไม่ใช่ชื่อเพลงนะครับ)
ชื่อเพลง คือ พระคุณซ้อนพระคุณ
แต่ฟังไปฟังมาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ชื่อเพลงหมายความว่าอะไร

เนื้อหาเพลงนี้มันเศร้ามาก.....เศร้าได้ใจเลยละครับ
เป็นต้นท่อนที่ว่า “คนบาปอย่างฉัน”.............ฟังแล้วขนลุกนิดนึงนะ ไม่มาก เดี๋ยวเว่อร์

แต่ความเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่งในบทเพลงนี้คือ
พระเมตตาของพระเจ้า มีให้เราทุกวัน และทำให้เรามีค่า แม้ว่าเราจะเป็นคนบาปสักแค่ไหน
แต่พระองค์ก็ยังคงสดับฟังคำภาวนาของเรา

“ทางออกของปัญหาดูเหมือนไม่มี”
“พระเจ้าก็ไม่ได้เห็นด้วยสายตา”
แต่เราเชื่อว่าพระองค์ “ไม่เคยละสายตาจากเรา”
เป็นต้น “ในเวลาแห่งความทุกข์ระทม”




ตอนนี้ ผมฟังเพลงนี้วันละหลายรอบ
เพราะอยากให้ใจตัวเองเข้มแข็งมากขึ้น
ไม่อยากให้มันท้อแท้ ก่อนเวลาอันควร
ก่อนเวลาอันควรหมายถึง เวลาที่ยังไม่ได้ต่อสู้จนถึงที่สุด
ก่อนจะตัดสินใจละทิ้งอะไรสักอย่าง...ขอสู้กับมันเฮือกสุดท้ายละกัน
แต่ว่า...ที่นับ ๆ ดู เฮือกสุดท้ายของผม มันหลายครั้งแล้วนะ
แต่ก็แปลก ตอนนี้ก็ยังอยู่ได้...ยังมีชีวิตอยู่

ขอบคุณทุกกำลังใจที่ผ่านมา
ทุกคำภาวนาที่ไม่เลยผ่าน
ขอบคุณความรักจากวันวาน
และขอบคุณจริง ๆ สำหรับบทเพลง
ขอบคุณน้องคนนั้น



วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Cartoon fun fun ลองวาดการ์ตูนเล่น ๆ

พอดีว่า เคยวาดการ์ตูนเล่น
เลยลองเอามาให้ชมกัน









Pantheon...ภาพที่สอง

ไหน ๆ ก็ไหนแล้ว
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
ขอนำเสนอ Pantheon ภาพที่สองเลยละกัน

ภาพนี้ถ่ายตรงมุมถนนอีกมุม
จะได้ภาพไกลออกมาอีกนิด และจะเห็นเสาโอเบลิสก์ ด้วย

มะ........มาชมกันเลย


เช่นเคย....มีภาพต้นฉบับมาให้เปรียบเทียบกันด้วย



Watercolor...Pantheon มุมมองใหม่ ตั้งใจวาดมากขึ้น

คราวนี้........................ถึงเวลาแล้ว
ที่ต้องให้ชาวบล็อกได้ชมผมงานอันเพียรทนของผม
ตั้งใจไว้แล้วว่า เวลาวาดภาพ จะวาดด้วยความใจเย็น
ฝึกสมาธิให้มากขึ้น เพื่อจะได้ผลงานอันมีค่า

เมื่อเดือนก่อน....ได้ค้นดูรูปที่ถ่ายเก็บไว้..(มากมาย)
เพื่อนำมาเป็นแบบในการวาดภาพ
เลื่อกไปเลือกมา ก็หนีไม่พ้น Pantheon อีกแล้ว

รอบนี้มีภาพต้นฉบับมายืนยันด้วยนะครับ
ภาพต้นฉบับนั้นจะเห็นได้ว่า สีสันไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่
แต่เมื่อเราลงสีแล้ว.....อืม.....ไม่อยากบรรยาย
เค้าเรียกว่า ศิลปินทำได้มากกว่าภาพถ่ายจริงๆ

ลองดูกันนะครับ



ภาพถ่าย.......ครับ






ภาพวาด.....ครับ...

2012 the Year of Faith...ปีหน้าคือปีแห่งความเชื่อ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๐๑๑
เวลาเที่ยงวัน ณ วาติกัน เป็นเวลาแห่งการภาวนา Angelus
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ ๑๖ ประกาศให้ปี ๒๐๑๒ เป็น "ปีแห่งความเชื่อ"

อันที่จริง คือ โอกาสครบรอบ ๕๐ ปี แห่งการสังคายนาวาติกันที่สอง
แต่พระองค์ไม่ได้มีพระประสงค์ให้มีการเฉลิมฉลองสังคายนาฯ
แต่ทรงมีพระประสงค์ให้ฉลองความเชื่อ...
ความเชื่อหลังจากการแพร่ธรรมของบรรดามิสชันนารี
ความเชื่อที่เป็นผลพวงมาจากสังคายนาฯ
และความเชื่อที่เราจะต้องตระหนักให้เข้มข้นในปี ๒๐๑๒ นี้...

ปีแห่งความเชื่อนี้..จะเริ่มต้นในวันแรกของเทศกาลเตรียมรับเสด็จ หรือวันแรกของปีพิธีกรรม
เราจะคอยดูกันไปว่า ปีหน้านี้ เราจะทำอะไร และทางส่วนกลางจะทำอะไร
เพราะฉลองความเชื่อของเรา


วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Showrooms......ข้างถนน.

เดินไปตามซอยต่าง ๆ ในกรุงโรม
สิ่งที่ดึงดูดสายตาสิ่งหนึ่งคือ ตู้โชว์สินค้าหน้าร้าน....
มันเป็นสื่อโฆษณาอย่างดี...
ขอนำมาให้ชมกันนะครับ...น่ารัก...น่าซื้อ...น่าทำเป็นของฝาก..
แต่ราคาก็...อืม...อะนะ
ยิ่งเป็นของทำมือแล้วละก็...ราคาแพงมาก..ที่นี่ให้ความสำคัญกับของทำืมือเอามาก ๆ








ภาพชุดนี้...มาจาก 5D Mark II นะครับ...อ่าๆๆๆ เซิฟ ๆ ไปก่อน




......

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Catacombe S. Callisto e Domine quo vadis.

วันนี้พามาเี่ที่ยวครับ....(หมดมุกทีไร พาเที่ยวทุกที)
ก็ไม่อยากให้ชีวิตมันจำเจอยู่แต่ในห้อง ในที่ทำงาน หรือในมหาลัย
ชีวิตมันต้องออกไปสูดอากาศ ในที่ที่่มันไม่เคยบ้าง
เผื่อว่าปอดจะทำงานได้ดี...เลือดจะได้ไปเลี้ยงสมองและหัวใจให้ปลอดโปร่ง...

วันนี้พามาที่ กาตากอม.............
กาตากอมในโรมมีหลายที่ครับ แต่ที่ใหญ่ ๆ จะมีประมาณสามที่....และอยู่ใกล้ ๆ กันด้วย
ครั้งก่อนเคยพาไปแล้วครับ กลับไปดูได้ที่นี่ กาตากอม Domitilia

ครั้งนี้พามาอีกที่ ที่นี่เรียกว่ากาตากอม นักบุญ Callisto เป็นที่ฝังศพนักบุญชิชิเลีย
นักท่องเที่ยวมามากพอสมควร
ดูเองนะครับ....












พอออกมาแล้ว...(เค้าไม่ให้ถ่ายรูปข้างใน)
เราก็ไปต่อ..ที่ ถนน Appia Antica เขาเล่ากันว่า
ถนนสายนี้ละ ที่พระเยซูเจ้าเคยเดิน หลังจากที่พระองค์กลับคืนชีพแล้ว
และได้เดินมาพบนักบุญเปโตรที่กำลังหลบหนีออกจากโรม เพราะกลัวความตาย
พบนักบุญเปโตรพบพระเยซูเจ้า
นักบุญเปโตรก็ถามพระองค์ว่า.......Domine quo vadis.
แปลว่า......องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะไปไหน?????
...มีต่ออีกครับ..ไปหาอ่านเอาเองละกัน เรื่อง โควาดีส......นะครับ

ที่นี่ได้สร้างเป็นวัดเล็ก อยู่หัวมุมถนน
มีรอยเท้าพระเยซูเจ้าได้ครับ...
อาจทำเป็นสัญลักษณ์ก็ได้...ไม่รับรองว่าเป็นความจริงหรือไม่ประการใด
แต่รับรองแค่ว่า..........หลังจากที่ได้คำตอบจากพระเยซูเจ้าแล้ว
นักบุญเปโตร กลับไปให้เขาตรึงกางเขนกลับหัวแน่นอน











เนื้อหาและรูปภาพในบล็อกนี้ แม้จะไม่ใช่มืออาชีพ..แต่ถ้าจะนำไปใช้ในการอื่น ขอให้แจ้งเจ้าของบล็อกนิดนึงนะครับ
สงวนลิกขสิทธิ์ตามพ.ร.บ. ครับ...