"บางครั้งเราเต็มใจเป็นสะพาน ให้ใครบางคนก้าวข้าม
แต่ห้วงยามแห่งการเสียสละ กับห้วงยามแห่งการพลัดพราก
ก็มักจะเกิดขึ้นพร้อมกัน
ทั้งนี้เพราะสะพานย่อมมิใช่ที่อยู่ถาวรของผู้ใด"
เสกสรร ประเสริฐกุล
นานมาแล้ว เคยได้อ่านหนังสือ “พานพบไม่ผูกพัน” ของ เสกสรร ประเสริฐกุล
และยังคงประทับใจกับสำนวนการเขียนของท่าน
หนึ่งในเรื่องต่าง ๆ นั้น คือเรื่อง “สะพาน”
วันนี้ได้ค้นดูภาพเก่า ๆ ที่ถ่ายเก็บไว้
เห็นรูปถ่ายสะพานข้ามแม่น้ำไทเบอร์ หน้าวาติกัน
เลยถือโอกาสหยิบยกคำพูดของอาจารย์เสกสรร ประเสริฐกุล
มาประกอบภาพอันเนื่องมาจากฝีมือสมัครเล่นของผม
“สะพานย่อมมิใช่ที่อยู่ถาวรของผู้ใด”
คำกล่าวนี้ มีบางสิ่งแอบแฝงอยู่ลึก ๆ เป็นนัย
ภาพสะพานที่ผมได้นำมาให้ชมกันนั้น มีสองสะพานด้วยกัน
สะพานอันที่หนึ่งเป็นสะพานข้ามไปหาปิอาสซ่าซานเปโตร
สะพานอันที่สองเป็นสะพานข้ามไปยังปราสาทเทวดา
สะพานอันที่สองนี้ มีรูปปั้นเทวดาถือสัญลักษณ์แห่งมหาทรมานของพระเยซูเจ้า
เช่น แส้สำหรับเฆี่ยนนักโทษ เสาเฆี่ยน กางเขน มงกุฎหนาม ผ้าตราสัง หอก ฯลฯ
แต่ผู้คนที่สัญจรไปมา...ไม่รู้ว่าจะเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ต่าง ๆ นี้มากน้อยแค่ไหน
พระเยซูเจ้า ทรงเป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับพระบิดา
อาศัยธรรมล้ำลึกแห่งปัสกา (การทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับพระชนมชีพ)
ช่วยให้เราได้รอดพ้น
พระมหาทรมานของพระองค์ จึงเป็นเหมือนสะพาน
พระองค์ต้องก้าวผ่านความตาย ไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์
สะพานจึงมีไว้ก้าวผ่านไปสู่เป้าหมาย
“สะพานย่อมมิใช่ที่อยู่ถาวรของผู้ใด”
พระเยซูเจ้าก็ไม่ได้จมอยู่ในสะพานแห่งความทุกข์ทรมานแห่งความตาย
แต่พระองค์ทรงก้าวพ้น
และพระองค์ทรงเชื้อเชิญให้บรรดาศิษย์ของพระองค์ก้าวข้ามสะพานที่พระองค์ทรงผ่านมาแล้ว
สะพานของพระองค์แม้จะลำบาก แต่ทว่ามั่นคง และพาไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจน
สะพานของพระองค์ไม่สวยงาม แต่เมื่อผ่านมาได้จะพบสิ่งสวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในโลกนี้
พระองค์ยอมเป็นสะพานให้เราก้าวข้าม
เพราะองค์รู้ว่า เมื่อได้ข้ามพ้นสะพานนั้นแล้ว...
รางวัลที่ยิ่งใหญ่...รอเราอยู่ที่นั่นเสมอ และนิจนิรันดร์