นานแค่ไหนแล้วนะ...ที่ผมไม่ได้เทศน์
ครั้งสุดท้ายจำไม่ได้แล้ว...แต่ที่แน่ ๆ
ครั้งสุดทายที่เทศน์...คือปีที่แล้ว..ก่อนเท้าแตะผืนดินเมืองพิซซ่าแน่ ๆ
แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วต้องเตรียมเทศน์เป็นภาษาอิตาเลียน
สำหรับคนอื่นคงเป็นเรื่องง่าย
แต่สำหรับผมนั้น ให้ผมกวาดวัดถูวัดยังง่ายกว่าเยอะเลย...
อย่าว่าแต่เทศน์เลย...แค่อ่านพระวรสารก็ยังสะดุดเป็นแร็พโย่ไปซะงั้น
รู้อย่างนี้ พกโซเค่นดีวีดีมาด้วย คงช่วยได้เยอะ
แต่โชคเข้าข้างยังงัยไม่รู้....
พ่อเจ้าวัดเห็นผมกังวลใจ...พ่อเขาเลยอาสาทำมิสซาคนเดียว สามมิสซารวด...
ผมก็คลายความกังวลลงไปได้เยอะ...
แต่ยังไม่วาย เกิดความท้าทายกับการโปรดศีลอภัยบาปครั้งแรก...
ดีที่รอบคอบ...พกบทฟังแก้บาปติดตัวไว้...
มันเหมือนร่มชูชีพงัยไม่รู้...มีมันไว้ไม่ตาย...ว่างั้น
คนที่มาแก้บาปส่วนมากเป็นคนแก่..ที่พูดรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง...
พอถึงบทผมพูด...เขาก็ไม่รู้เรื่องเหมือนกัน..
น้าน...เป็นงัยละ...เป็นการเอาคืนที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่นัก
แต่ผลของศีลอภัยบาปก็สำเร็จไปนะ...
ผมฟังเขาไม่เข้าใจ เขาก็ฟังผมไม่เข้าใจ...แต่พระเจ้าเข้าใจเรา...
แต่ถ้าให้พูดถึงหัวใจหลักของการรับศีลอภัยบาป
สำหรับคิดว่า...มันอยู่ที่หัวใจของคนที่มาขอรับศีลฯ...
หัวใจที่กลับด้าน...กลับจากด้านลบเป็นด้านบวก...
เขาถึงเรียก "การกลับใจ" ยังงัยละ
การกลับใจในศีลอภัยบาป ก็คือ การสึกนึกผิด เป็นทุกข์เสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
และตั้งใจว่าจะพยายามไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก...
ส่วนหน้าที่ของพระสงฆ์...คือ เครื่องมือของพระเจ้า..
ที่ยกบาปให้โดยอาศัยศาสนบริการของพระศาสจักร...
หน้าที่สำคัญของพระสงฆ์ในฐานะศาสนบริกรแห่งศีลอภัยบาปมีอยู่ ๕ อย่างด้วยกัน..
ตอนเรียนเรื่องศีลอภัยบาปที่แสงธรรม...
ผมท่องขึ้นใจเลยนะ...แต่ตอนนี้ชักจะลืม ๆ ไปแล้วละ
๑. Father พระสงฆ์ต้องทำหน้าีที่เสมือนบิดา...บิดาที่ใจดีเสมอ บิดาที่พร้อมจะต้อนรับบุตรกลับบ้าน ให้โอกาสบุตร และเต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย
๒. Counselor พระสงฆ์ต้องทำหน้าที่เสมือนผู้ให้คำปรึกษา ต้องรู้จักรับฟังอย่างบริสุทธิ์ใจ รับฟังด้วยความมีน้ำใจดี และพยายามเข้าใจ พร้อมที่จะให้คำแนะนำและเดินเคียงข้างไปกับผู้ที่มาขอรับศีลฯ
๓. Teacher พระสงฆ์ต้องทำหน้าที่เสมือนอาจารย์ ต้องให้การอบรมสั่งสอน โดยเฉพาะกับคนที่เข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ต้องให้ความกระจ่างชัดระหว่างความถูกต้องและความผิดบาป พร้อมทั้งต้องมีกลยุทธในการให้ข้อคิดดีดีด้วย
๔. Doctor พระสงฆ์ต้องทำหน้าที่เสมือนหมอรักษาโรค โรคที่คุกคามชีวิตฝ่ายจิต..
ต้องพยายามวินิจฉัยความอ่อนแอ หรือข้อบกพร่องของผู้มารับศีลฯ และหาทางรักษาด้วยการให้คำแนะนำที่ตรงกับโรค ความประพฤติใดเหมาะกับยาขนานใด พระสงฆ์ควรรู้และศึกษาให้ท่องแท้
๕. Judge พระสงฆ์ต้องทำหน้าที่เสมือนตุลาการ
ที่ต้องตัดสินคดีอาญาหัวใจ และต้องเอาใจใส่พยานความเชื่อ
ต้องตัดสินอย่างยุติธรรม เสมือนความยุติธรรมที่มาจากความรักของพระเจ้า และต้องให้กิจการใช้โทษบาปตามความเหมาะสม
...สำหรับผม ที่ทำหน้าเป็นศาสนบริกรแห่งศีลอภัยบาป ณ ที่ที่ไม่ค่อยสันทัดเรื่องภาษา
บอกตรง ๆ ว่าทำหน้าที่ไม่ครบทั้ง ๕ อย่าง
แต่ก็พยายามเน้นไว้บางอย่างเท่าที่พอทำได้โดยไม่ต้องใช้ภาษาพูด...
แต่ใช้ภาษาใจแทน
ผมพยายามแสดงออกด้วยความรักเยี่ยงบิดา
พยายามเข้าใจ และให้กำลังใจด้วยรอยยิ้ม...
ผมพยายามสวดบทสูตรยกบาปแบบช้า ๆ ไม่ให้พลาด...
และที่สำคัญที่สุด ผมพยายามเชื่อมโยงกับความเชื่อ
เชื่อว่าพระเจ้าประทับอยู่กับผม
และเป็นกำลังสำคัญของผม ผมเพียงทำหน้าที่แทนในเรื่องภายนอก
ส่วนเรื่องภายในผมยกให้พระองค์หมดเลย...ผู้รับศีลฯคิดอะไรในใจ
หรือพูดอะไรค่อย ๆ ในลำคอ..ผมเชื่อว่าพระองค์เข้าใจทุกอย่าง
และผมจะทำหน้าที่นี้ต่อไป..."ศาสนบริกรแห่งศีลล้างบาป"....
ปล. ขอบคุณคุณพ่อเคลาดิโอ อาจารย์สอนวิชาศีลแห่งการบรรเทา (ศีลอภัยบาปและศีลเจิมคนไข้)
..................................................................