วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553
Duomo Milano
วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2553
ขนมปังที่ต้องพกติดตัว
หากว่าเราแต่ละคน รู้จักหยิบยื่นสิ่งดีดี ที่เรามี ให้กับผู้อื่น
แม้ไม่ใช่สิ่งใหญ่โต หรือมีคุณค่าราคาอะไรมากนัก
แต่หากทุกคนนำมันออกมา
ก็จะกลายเป็นสิ่งใหญ่โตและประมาณค่ามิได้
การให้คือการเิติมเต็มให้โลกใบนี้น่าอยู่ด้วย "น้ำใจ"
เป็นน้ำใจที่คนในสังคมมอบให้แก่กันและกัน โดยไม่แบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ และการศึกษา
หากแต่ว่า ก่อนที่เราจะให้อะไรใคร เราต้อง "มี" เป็นทุนไว้ก่อน
ผมขอเรียกปลาสองตัวที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาแจกให้ประชาชนกินนั้นว่า
ปลาทู (Two) ทู ในที่นี้ หมายถึง สอง เพราะมีปลาอยู่สองตัวนั้นเอง
เพราะฉะนั้นการใ้ห้จึงเป็นแบบ Two ways... คือได้รับทั้งไปและกลับ
การให้นั้นทำให้เกิดความสุข
เป็นความสุขที่เดินทางไป และกลับ
ขาไปให้ความสุขแก่คนรับ
ขากลับให้ความสุขแก่คนให้
(ฟังดูเหมือนจะคมนะ)
ส่วนขนมปังห้าก้อนนั้น หมายถึง "สิ่งที่เราต้องให้สำหรับตัวเอง"
เป็นสิ่งที่ทุกคนควรมีติดตัวไว้เป็นทุน สำหรับแบ่งปันแ่ก่ผู้อื่น
ขนมปังก้อนแรก
เริ่มต้นที่การให้กำลังใจตนเองในเวลาที่ท้อแท้
เพื่อที่จะรู้จักแบ่งปันกำลังใจให้แก่ผู้อื่น
ขนมปังก้อนที่สอง
ให้อภัยตัวเองด้วยการพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" หรือ "ช่างเถอะ"
เพื่อที่จะรู้จักให้อภัยแก่ผู้ือื่น
ขนมปังก้อนที่สาม
ให้โอกาสแก่ตนเองได้แก้ไขข้อผิดพลาด
เพื่อที่จะรู้จักมอบโอกาสให้แก่ผู้อื่น
ขนมปังก้อนที่สี่
ให้รอยยิ้มแก่ตนเองทุกวัน
เพื่อที่จะรู้จักแบ่งปันรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่น
และขนมปังก้อนสุดท้าย ขนมปังก้อนที่ห้า
ให้ความรักแก่ตนเอง
เพื่อที่จะรู้จักแบ่งปันความรักให้แก่ผู้อื่น
"หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ยังไม่เคยเป็นผู้ให้
ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้นการให้แก่ตนเองและแก่ผู้อื่น"
(คัดจากส่วนหนึ่งของเรื่อง ขนมปังที่ต้องพกติดตัว จากหนังสือ เริ่มต้นที่ดินดี)
เพื่อนผม...อีกคน...
ดีใจจัง...วันนี้เพิ่งเข้ามาอัพบล็อก...
ก็พบว่า ทาง Blogspot ได้ปรับปรุงการนำเข้ารูปภาพ ให้มีขนาดใหญ่เท่าขนาดเดิมของไฟล์รูป
ทีนี้เราก็มาเพิ่มขนาดกัน ให้เห็นชัด ๆ ว่า ภาพของเราเจ๋งแค่ไหน...
วันนี้ ผมไม่ได้มาคนเดียว แต่มาพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่งของผม..
เถียงนาน้อย..ของข่อย
วันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2553
ภาพเล่าเรื่อง...
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
รักเก่า...ที่บ้านหลังเก่า...
ตราบใดที่ไม่มีใครสามารถ...
ดึงพระอาทิตย์ให้ตกทางทิศตะวันออกได้...
ตราบนั้นเวลาก็ยังคงหมุนไปข้างหน้าเสมอ...
และไม่มีใครย้อนเข็มนาฬิกาไปหาเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตได้...
เคยไหมครับ...??
ที่เกิดอาการเสียดายเวลา...เสียดายสิ่งต่าง ๆ ที่ผ่านมา...
เสียดายที่ไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรทำ..
ผมโตมาในบ้านหลังเก่า ๆ หลังหนึ่ง...
เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว...แต่ยกสูงจากพื้นประมาณเมตรนึง
พอที่จะให้เด็ก ๆ คลานลอดใต้ถุนไปเก็บเศษเหรียญได้
รูปทรงของบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยม..มุงสังกะสี
แผงประตูไม้หน้าบ้านสามารถเปิดออกได้ทุกบาน...
เพราะเมื่อก่อนเคยเป็นร้านขายของชำของปู่กับย่า...
บ้านหลังนี้ไม่มีบานหน้าต่าง...มีแต่แผ่นไม้ไผ่สานเก่า ๆ
หน้าบ้านมีโอ่งแดงใหญ่ ๆ เอาไว้เก็บน้ำฝน...
บ้านรูปสี่เหลี่ยมผืนบ้าน...
มีด้านหน้าเป็นระเบียงติดกับถนน มีรั้วซอมซ่อกันไว้อยู่
ข้างระเบียงมีตุ่มน้ำดื่มสองตุ่ม..
ที่ทำขาตั้งไว้ต่างหากจากตัวบ้าน
ถ้าจะดื่มก็ต้องใช้กระบวย..และยื่นตัวออกไปตักมาดื่ม...
ส่วนกลางของบ้านเป็นห้องนอน เราใช้ตู้เสื้อผ้าแบ่งเป็นล็อค กั้นไว้ทำเป็นห้องนอน
ส่วนถัดไปด้านหลังเป็นครัว...ห้องครัวที่มีสารพัดอย่าง...
มันเป็นห้องเก็บของกราย ๆ...
ส่วนหลังบ้านที่เป็นชานไม้ต่อออกไป..เป็นที่อาบน้ำ ล้างจาน ซักผ้า...
พื้นเป็นไม้ลำกลม ๆ วางเรียงกัน...เหมือนพื้นกระท่อมปลายนา ยังงัยยังงั้น...
นอกจากมีบ้านแล้ว ยังมีโรงสีเก่า ๆ เอาไว้สีข้าวเปลือกกิน รวมทั้งข้าวของชาวบ้านด้วย
ผลพลอยได้จากการมีโรงสี คือ การเลี้ยงหมู
เราเอารำที่ได้จากการสีข้าว ไว้เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่...แล้วเลี้ยงควายด้วย..
ควายที่บ้านผมกินรำด้วยนะจะบอกให้
นอกจากนั้นก็มียุ้งฉางเก็บข้าวเปลือกอยู่สองหลัง
หลังหนึ่งสำหรับข้าวจ้าว อีกหลังสำหรับข้าวเหนียว...
ใต้ถุนฉางข้าวเป็นคอกหมู...สาระพัดประโยชน์จริง..ๆ
ที่ผมเล่ามาทั้งหมด...เป็นเพียงภาพในอดีต...
ที่ตอนนี้หาดูไม่ได้แล้ว...
และก็ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย..
คงเหลือแต่ความทรงจำเท่านั้น...
ที่บ้านหลังนี้มีเรื่องรวมมากมาย...
มันมีเรื่องเล่า...เล่าเท่าไหร่ก็ไม่จบ...
ผมและน้อง ๆ อีกสามคน
เราเกิดที่นี่...เกิดที่ห้องครัวซอมซ่อของเรา...
แม่ไม่เคยไปฝากท้อง..ไม่เคยให้สูตินารีแพทย์ตรวจ...
มีแต่หมอตำแยประจำหมู่บ้าน..ที่ืชื่อ ยายหนูเีพียง...
บ้านยายหนูเพียงอยู่ใกล้ ๆ บ้านผมเอง...
มีอะไรก็เรียกใช้กันได้...
อันที่จริงผมก็จำบรรยากาศที่แม่เจ็บท้องไม่ได้หรอก
จนมาถึงตอนแม่คลอดน้องชายคนเล็กของผม...
ตอนนั้นผมจำได้..ผมตื่นเต้นมาก ๆ
ผมไม่รู้ว่าแม่ผมรู้สึกอย่างไร...
แต่ตอนแม่คลอด แม่เีรียกหาพ่อผมตลอด...
เพราะว่า ตอนนั้นพ่อผมไม่อยู่บ้าน..
พ่อไปใช้แรงงานที่ต่างประเทศ...
แม่คงคิดถึงพ่อมาก...
และพ่อก็คงเป็นห่วงแม่ผมเหมือนกัน...
นี่เป็นเพียงเรื่องราวเล็ก ๆ เท่านั้นเอง...
ถึงตอนนี้ ...
ผมเลยตัดสินใจนึกภาพบ้านหลังเก่า..
ซึ่งตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยบ้านหลังใหม่...
จิตนาการ...แล้วก็วาดมันออกมา้ด้วยสีน้ำ..
เชื่อไหมครับ..หลังจากที่ผมวาดเสร็จ...
น้ำตาผมแทบไหล...ผมคิดถึงบ้านมากเลย...
ผมดูแล้วดูอีก...จับแล้วจับอีก...
มันตื้นตันใจ..เหมือนกันว่า...ผมได้เรียกความทรงจำนั้นกลับคืนมาอีก....
และผมอยากให้พ่อแม่ ปู่ และน้อง ๆ ของผมได้ดู
ผมคิดว่า พวกเขาคงจะดีใจน่าดู
ผมจึงอยากจะบอกเพื่อน ๆ ว่า...
ใครก็ตามที่มีบ้านหลังใหม่...
อย่าได้ลืมบ้านหลังเก่าเลย...เก็บมันไว้เป็นความทรงจำ..
เราจะสังเกตได้ว่า...บรรดาผู้ใหญ่..เมื่อหวนคิดถึงเรื่องเ่ก่า ๆ เขาจะเล่าด้วยน้ำตาคลอ...
จึงอยากให้เพื่อน ๆ ได้เก็บภาพต่าง ๆ ไว้...
ถ่ายภาพบ้านหลังเก่า...ก่อนที่จะรื้อมันออกไป...
ของเก่า ๆ ที่เป็นของพ่อแม่...ก่อนที่จะทื้งมัน ขอให้คิดให้ดีก่อน...
ไม่งั้น...คุณจะคิดถึงมัน...
และจะหามันไม่เจอ..
เก็บเอาไว้นะครับ...รักเ่ก่า..ที่บ้านหลังเก่า...
วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553
enjoy your life สนุกกับมัน...ให้เต็มที่
แต่อย่าลืมว่าชีวิตไม่ได้มีด้านเดียว...มีด้านอื่นที่สำคัญกว่านี้อีกด้วย
เมื่อครั้งที่ผมเป็นเณรเล็ก...เล็กมาก ๆ ประมาณ ม.๑ หรือ ม.๒ นี่แหละ
มีคุณพ่อองค์หนึ่งให้คำแนะนำเรื่องกระแสเรียกผม...
คุณพ่อเป็นคนค่อนข้าง "ขวานผ่าซาก"
ท่านพูดว่า "มึงอย่างเป็นพระสงฆ์เหรอ?....
มีหลักปฏิบัติง่าย ๆ คือ
เขาให้เรียน...ก็เรียน
เขาให้สวด...ก็สวด
เขาให้กิน...ก็กิน
เขาให้นอน...ก็นอน
เขาให้เล่น...ก็เล่น
เขาให้ทำงาน...ก็ทำ
แค่นี้เอง...มึงก็ได้เป็นพระสงฆ์แล้ว.."
ผมฟังแล้ว สะอึกไปหลายรอบ...
ในคำพูดของพ่อคนนั้น..มันมีความจริงที่แฝงอยู่...
"ถ้าอยากเป็นพระสงฆ์...หมายถึง ก็แค่ได้บวชอะนะ..แต่จะดีหรือไม่ดีก็อีกเรื่อง"
อันที่จริงก็น่าคิด ..คนที่ออกจากการเป็นเณร
หลายคนก็ไม่ได้ปฏิบัติตามนั้น...
เวลาเรียน...กลับโดดเรียน
เวลาสวด...กลับนอน
เวลากิน...กลับออกไปข้างนอก
เวลานอน...กลับเล่น
เวลาเล่น...กลับหางานทำ
เวลาทำงาน...กลับหาเรื่องเรียนหรือทำการบ้านไป..
ก็เพราะมันไม่ลงตัวอย่างนี้งัย..ชีวิตมันเลยรู้สึกว่า "ไม่ใ่่ช่"
พอมันรู้สึกอย่างนั้น...ก็หาสาเหตุว่า มันคงไม่ใช่กระแสเรียก...
ก็เลยหันเหไปทางอื่นซะงั้น...
หลักการที่พ่อคนนี้ให้ผมมา...
แม้มันจะไปใช่เหตุผลหลักทางชีวิตฝ่ายจิต..ในการอบรมชีวิตการเตรียมตัวเป็นพระสงฆ์ก็ตาม
แต่มันเป็นหลักขึ้นพื้นฐาน....ที่ควรปฏิบัติให้ได้....และเป็นหลักที่สำคัญด้วย..
ย้อนกลับมาถึงการเล่นฟุตบอลของเด็ก ๆ
หลายคนในจำนวนนักฟุตบอลนั้น...เป็นเด็กช่วยมิสซาด้วย...
ถึงเวลาเล่นพ่อแม่ก็ส่งเสริมให้เล่นเต็มที่
ถึงเวลาไปเรียนก็ต้องไปเรียน แม้ในวันหิมะตกหนัีกก็ตาม
ถึงเวลาไปวัด..พ่อแม่ก็ปลุกลูกแล้วพาไปวัด...ช่วยพิธีมิสซา....
อย่างนี้สิครับ...ถึงจะเรียกว่า Enjoy your life with your duty.....
สนุกกับมันให้เต็มที่ตามกาลเวลาของมัน...
เหมือนกับคุณพ่อองค์หนึ่ง เมื่อครั้งเป็นเณร
พ่อองค์นี้ชอบบอกนี้รุ่นน้อง ๆ ว่า
"สนุกให้เต็ม...แต่อย่าทำบาป".....:D
วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553
เซอร์ไพรซ์เล็ก ๆ
ถึงวันกำหนดที่ต้องออกจะวัด...
เพื่อมุ่งสู่โรม...กลับไปโรมรันฟันแทงกับการเรียนต่อไป...
สิ่งที่ผมไม่ลืมคือ ต้องโกยเอากำลังใจจากที่นี่ไปเยอะ ๆ....เพื่อวันที่ใจล้า...
จะได้มีสิ่งค้ำจุน...
ในวันนี้
พ่อเจ้าวัด คือ พ่อลูกกา...
แอบนัดหมายกับบรรดาป้า ๆ จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ
เพื่ออำลาพาจาก...คนต่างชาติอย่างผม..
เราทานอาหารเที่ยงร่วมกันหลังมิสซา
ผมไม่รู้มาก่อนว่าจะมีการจัด..
พ่อเจ้าวัดอำผมเล่นว่า...
จะพาผมไปยกของ...ขอแรงให้ผมไปด้วยหน่อย...
ผมก็เชื่อ...(เพราะซื่อใสบริสุทธิ์งัย)...และตามคุณพ่อไป
พอไปถึงก็เซอร์ไพรซ์...ในห้องนั้นเต็มไปด้วยป้า ๆ....ที่รอการแปลกใจของผม...
มิน่าละ...ผมก็ได้ยินเค้าคุย ๆ กันอยู่...
พออยู่ต่อหน้าผมเขาก็บอกว่า เงียบ ๆ หน่อย อย่าพูดเดี๋ยวผมรู้เืรื่อง..
อันที่จริงผมรู้เรื่องแล้วละ..
แต่ไม่รู้รายละเอียดแค่นั้นเอง...