ผมได้รู้จักเรื่องราวของบ้านดินเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว
และได้ซื้อหนังสือเล่มหนึ่งมาอ่าน ชื่อว่า “บ้านดิน”
แต่สิ่งที่ผมต้องการบอกนั้น ไม่ใช่วิธีสร้างบ้านดิน
แต่เป็นปรัชญาของผู้ที่ต้องการมีบ้านดิน
ก่อนอื่นขอนิยามคำว่าบ้านดินให้ฟังก่อนว่ามันคืออะไร
บ้านดิน คือ บ้านที่สร้างขึ้นด้วยส่วนประกอบของธรรมชาติ เช่น ดิน ไม้ หิน ทราย แกลบ น้ำ ฯลฯ ดังนั้น บ้านดินจึงทำให้เราได้เข้าใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้น
อีกทั้งธาตุ ๆ ในธรรมชาติยังมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ
แต่สำหรับผมแล้ว การสร้างบ้านผมไม่ต้องการธาตุไฟหรอกนะ เดียวจะวอดวายกันพอดี
ถ้าเปลี่ยนเป็น ดิน น้ำ ลม และก็ “ใจ” จะดีไม่น้อย ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันที
ในหนังสือเรื่องบ้านดิน ผู้เขียนได้เขียนบทนำเอาไว้อย่างน่าคิด
เค้าบอกว่า ต้นทุนในการสร้างบ้านดินนั้นไม่แพงมาก แค่ไม่กี่หมื่นบาทเอง
วัสดุก็หาได้ตามท้องที่ แถมสร้างแล้ว ยังให้ความภูมิใจและปลอดภัยต่อสุภาพอีกต่างหาก
ปรัชญาของการสร้างบ้านดินนั้น ค่อนข้างจะสวนทางกับความคิดของคนในปัจจุบัน
มนุษย์เงินเดือนบางคนคิดว่าจะทำงานเก็บเงินเพื่อ สร้างบ้าน ซื้อรถ สร้างฐานะ มีครอบครัวที่อบอุ่น
แต่ว่า...กว่าจะถึงวันนั้น จะต้องใช้เวลากี่ปี...
กว่าจะเก็บเงินได้ให้เพียงพอกับการสร้างบ้านหลังใหญ่ หรูหรา ทันสมัย ดูดีมีชาติตระกูล ฯลฯ
กว่าจะเก็บเงินได้ครบ อายุอานามก็ปาเข้าไปหลักกล้วยไม้แล้ว
กว่าจะมีความสุขก็เหลือเวลาอีกไม่มาก
แถมยังต้องห่างไกลจากญาติพี่น้อง
ปล่อยให้ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลานโดยลำพัง
บางคนพอกลับมาบ้านที ก็ทำตัวเป็นดาวมหาลัย
ทำตัวรับไม่ได้กับชาติกำเนิดของตัวเองอีก ยิ่งไปกันใหญ่
สิ่งที่น่าคิดคือ ทุกวันนี้เรากำลังแสวงหาอะไรกัน
ถ้าคำตอบคือ “ความสุข” สิ่งที่เราทำอยู่มันคือความสุขที่แท้จริงหรือไม่
ถ้าชีวิต มีบ้านหลังเล็ก ๆ ไม่ใหญ่โตเหมือนตึกระฟ้า แต่น่าอยู่และอบอุ่น ก็คงเพียงพอกับหัวใจดวงเล็ก ๆ ของเรา ที่ไม่ต้องการพื้นที่โออ่าให้สิ้นเปลืองอะไร
ถ้าคนที่อยู่ในบ้าน เป็นคนที่รักเรา เอาใจใส่ ช่วยเหลือเรา ไม่ใช่คนที่คอยนินทา กลั่นแกล้ง หรือหาโอกาสทำลายเรา ก็คงเพียงพอกับคนที่รักมิตรภาพและรักสันติอย่างเรา ๆ
ถ้าเฟอร์นิเจอร์ที่บ้าน เป็นเครื่องใช้ไม้สอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จำเป็น ไม่ใช่เครื่องจักรกล หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเครื่องใช้แบรนด์เนมที่หรูหราราคาแพง ก็คงเพียงพอกับชีวิตเล็ก ๆ ที่หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างเรียบง่าย
และทั้งหมด ก็จบลงที่คำว่า “ความสุข”
ที่เสนอมาทั้งหมดนั้นไม่ได้มีเจตนาให้เราหันเหชีวิต หรือปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามนั้น
แต่เพื่อเตือนสติเรา ให้รู้จักมองหาสิ่งที่จะเกิดความสุขที่แท้จริงในชีวิตของเรา
ให้เรามองจากจุดที่เรายืนอยู่ มองจากสิ่งที่เราทำอยู่ มองจากคนที่อยู่รอบข้างเรา
ว่าสิ่งต่าง ๆ นั้น ได้เติมเต็มให้ชีวิตเรามีความสุขหรือไม่
ไม่ต้องรอให้เกษียณอายุงาน ไม่ต้องรอกินบำนาน ไม่ต้องรอให้เก็บเงินได้ แล้วจึงจะมีความสุข
แต่เราสามารถมีความสุขในที่ที่เราอยู่ได้ โดยไม่ต้องรอ
เมื่อครั้งที่ผมได้อ่านหนังสือเรื่องบ้านดินแล้ว
ผมได้กลับไปบ้าน และชวนปู่ของผมรื้อบ้านไม้หลังเดิมที่มีอยู่ เพื่อจะสร้างบ้านดิน
ผมและน้องชายผม ช่วยกันขนดินเหนียวจากริมห้วยมาที่บ้าน
เราเหนื่อยมาก เพราะพื้นที่ที่จะสร้างกับวัสดุนั้นมันอยู่ไกลกันมาก
และถ้าสร้างไปก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่า
เราเลยหยุดการสร้างไว้แค่นั้น
ดีนะที่เราไม่รื้อบ้าน ไม่งั้นคงไม่มีบ้านหลังนั้นให้ผมและน้อง ๆ อยู่กัน
แม้ว่าครั้งนั้น ผมจะล้มเหลว แต่ผมไม่ล้มฝัน
ผมยังฝันว่าสักวันหนึ่ง ผมจะมีบ้านดินหลังเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก
อย่างน้อยก็สร้างเอาไว้นั่งสมาธิ หรือไม่ก็เอาไว้รับแขก
เพื่อจะได้สัมผัสธรรมชาติแบบเนื้อแนบเนื้อ และปลูกต้นไม้ล้อมรอบ เพื่อให้ร่มเย็นมากขึ้น
บ้านดินหลังนั้นยังอยู่ในใจผมเสมอ
ผมจึงอยากให้ทุกคนมีบ้านดินไว้คนละหลัง
เราทุกคนสามารถสร้างบ้านดินไว้ในใจ
สร้างให้เล็ก ๆ เข้าไว้ ไม่ต้องสร้างใหญ่โต
สร้างให้เรียบง่าย ไม่ต้องซับซ้อน
สร้างไว้ตอนรับแขก ให้แขกที่เข้ามารู้สึกร่มเย็น
และที่สำคัญ ทั้งตัวเรา สมาชิกในบ้าน และแขกที่มาเยือน
จะได้พบความสุข “โดยไม่ต้องรอให้รวย”
เพราะกว่าจะรวย เราอาจะ ม้วยมรณาก่อนก็เป็นได้