"ขอให้เราเป็นเครื่องมือของสันติภาพที่มาจากเบื้องบน
ขอให้เราตระหนักว่า มันจะไม่มีสันติภาพ ถ้าที่นั่นไม่มีความยุติธรรม
ถ้าไม่มีความยุติธรรม มันจะไม่มีการให้อภัย
ดังนั้น ขอให้เรานำสันติภาพไปมอบให้ทั้งคนใกล้และไกลตัวเรา
มอบให้กับสิ่งสร้างและสรรพสิ่งทั้งมวล" (โดย popereport.com )
เมื่อไม่นานมานี้ ในวันที่ ๒๗ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๑๑
ณ ลานวิหาร นักบุญฟรังซิส อัสซีซี
พระสันตะปาปา และผู้นำศาสนาใหญ่ ๆ ของโลก
ได้มารวมตัวกันเพื่อจุดเทียนและภาวนาเพื่อสันติภาพ
ผู้นำแต่ละศาสนา ได้กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับสันติภาพ
บางศาสนาก็กล่าวในภาษาของตนเอง เป็นภาพที่น่าประทับอย่างยิ่ง
ผมเองไม่ได้ไปร่วม แม้ว่าจะอยู่ใกล้ก็ตาม
คนไทยที่ไปร่วมงาน กลับมาเล่าให้ฟังว่า
งานนี้ถึงขึ้นปิดเมืองกันเลยทีเดียว ไม่ให้รถเข้าออก
มีเพียงรถของผู้ที่ได้รับเชิญให้ไปร่วมเท่านั้นที่ได้เ้ข้าเืมือง
แต่ก็ได้ดูถ่ายทอดทางทีวี...........
จากประโยคที่ได้นำมาให้อ่านข้างต้นนั้น
ทำให้เรารู้ว่า "สันติภาพ" มีพื่นฐานอยู่ที่ "การให้อภัย"
ให้อภัยตัวเอง คนรอบข้าง และสรรพสิ่งทั้งมวล
เท่านี้ก็จะเกิดสันติภาพขึ้นในดวงใจ
หากแต่ละประเทศในโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศมหาอำนาจ
หรือประเทศมหาอำหิตก็ตาม
ถ้ารู้จักคำว่าสันติภาพอย่างถ่องแท้ ย่อมให้อภัยกันและกันได้เสมอ
ผู้นำศาสนาของโลก จับมือเรียกร้องสันติภาพ
ขณะเีดียวกัน ผู้นำประเทศบางประเทศจับมือกันเพื่อร่วมทำสงคราม
มันช่างขัดแย้งกันนัก
ผลลัพธ์ของสงครามมีแต่เสียกับเสีย
ผู้ที่คิดว่าตนเป็นฝ่ายชนะนั้น ที่แท้ไม่ใช่
เขาเป็นเพียงฝ่ายที่สูญเสียน้อยกว่าฝ่ายแพ้ต่างหาก
ส่วนผู้ที่แพ้หรือผู้ที่สูญเสียมากกว่า
สิ่งที่หลงเหลืออยู่ นอกจากซากศพและซากอาคารแล้ว
นั่นคือ "ความแค้น"...ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเอาคืน ด้วยสงครามอีกครั้งหนึ่ง
ดังนั้นสงครามจึงไม่มีว่าหมดสิ้น หากขาด "การให้อภัย"
ต่อให้ผู้นำศาสนามารวมกันเช่นนี้ทุกปี........
คงมิอาจต้านแรงแค้นของคนเพียงไม่กี่คนได้
แต่หากเราทุกคน เริ่มสันติภาพเล็กๆ ที่ดวงใจแล้ว
ผู้นำศาสนาต่าง ๆ ก็ไม่ต้องเสียเวลามารวมตัวกันเพื่อสันติภาพอีกต่อไป.........