Edit title Here

ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าสู่
นักคิดร้อยคำ นักธรรมร้อยใจ
วันนี้มีอะไรใหม่ ๆ เสมอในชีวิต
อย่างน้อยก็มีความรักของพระเจ้า
เป็นความรัก...ที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง...
และอยู่กับเราเสมอ...แม้เราจะไม่ค่อยใส่ใจก็ตาม
Enter
BLOGGER TEMPLATES AND TWITTER BACKGROUNDS

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แสวงหา ลุกขึ้น แล้วพูด



วันนี้พระวรสารเรื่องพระเยซูเจ้ากับศักเคียส
วันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ ๓๑ เทศกาลธรรมดา ปี C
ปกติแล้ว ไม่ค่อยได้เขียนเรื่องรำพึงรำพันพระวาจาของพระเจ้าเลย
แต่วันนี้ขอสักหน่อย ..
เพราะเมื่อเช้า ได้เวรอ่านพระวรสารในมิสซา...เลยคึก

สิ่งที่อยากบอก....มีสองอย่าง
อย่างแรก “แสวงหา
อย่างที่สอง “ลุกขึ้นแล้วพูด

ทั้งหมดเป็นคำกริยา (บอกทำไม ใคร ๆ ก็รู้)
เป็นกริยาอาการที่เกี่ยวข้องทั้งกับพระเยซูเจ้าและกับศักเคียส

เขาจึงวิ่งนำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า
อันที่จริงในภาษาต้นฉบับบอกไว้ว่า “เพื่อหาให้เห็นพระเยซูเจ้า”
หมายถึง ศักเคียส กำลัง “แสวงหา” พระเยซูเจ้า
ส่วนพระเยซูเจ้า ได้กล่าวตอนท้ายว่า “บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อแสวงหาและเพื่อช่วยผู้ที่เสียไปให้รอดพ้น”
พระเยซูเจ้ามาเพื่อตามหาผู้ที่หลงทาง ส่วนศักเคียสก็ออกแรงตามหาพระเยซูเจ้า
ตามคนต่างหา....
มิใช่ปล่อยให้พระเยซูเจ้าตามหาเราอยู่ฝ่ายเดียว
มิใช่ปล่อยให้ตัวเองหลบหนี ห่างไกลจากพระองค์

เมื่อพบ...
ในพระวรสารบอกว่าพระเยซู “ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตร”
แต่ในภาษาต้นฉบับเขียนไว้ว่า “พระองค์ทรงลุกขึ้นและทอดพระเนตรมายังเขา”
พระองค์พูดกับเขา บอกให้เขารีบลงจากต้นไม้
และพระองค์บอกกับเขาว่า “วันนี้เราต้องไปพักที่บ้านของท่าน”
เมื่อพระองค์พบว่าผู้ที่หลงไป อยากกลับมาหาพระองค์
เพราะองค์ก็ต้องรีบนำความรอดมาสู่เขา

เมื่ออยู่ในบ้าน...
พระวรสารบอกว่า “ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้า”
ศักเคียสลุกขึ้นแล้วทูลพระเยซูเจ้า ถึงเรื่องที่เขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
เรื่องที่เขาจะทำเพื่อชดเชยสิ่งที่ผิดไป

สุดท้าย...คือ ความรอดพ้น
วันนี้ เราลุกขึ้น แล้วบอกกับพระองค์หรือยัง
ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร?


มารีย์   : วันนี้สุด ๆ
มาร์ธา  : ทำไมละ ไปวัดมา มีอะไรเล่าให้ฟังบ้างสิ
มารีย์   : พ่อเจ้าวัดเทศน์อะไรก็ไม่รู้
มาร์ธา  : อ้าว...ก็มัวแต่นั่งหลับละซิ..ถึงไม่รู้เรื่อง
มารีย์   : ปวดขี้ เลยไปเข้าห้องน้ำ กลับมาภาคถวายละ
มาร์ธา  : นิสัย....






........................

วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แข่งเรืออิตาลี...

ตอนแรกที่เห็น รู้สึกงง ๆ
ไม่นึกว่าจะมีแข่งเรืออย่างนี้ในกรุงโรม..
มันคล้าย ๆ แข่งเรือบ้านเราเลย..
ก็เลยขอเก็บภาพไว้...
เป็นการลงเลนส์ซูมไปในต้ว...








วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วาติกัน ยังคงอยู่...มิได้ไปไหน

ช่วงนี้ไม่ได้ไปไหน
ลัดเลาะ วกวน ป้วนเปี้ยน ไปมา แถว ๆ วาติกัน
แวะร้านโน้น ร้านนี้...เผื่อจะเจอของถูกใจ
ก็มีบ้างที่อยากได้อยากซื้อ...
แต่พอดูเงินในกระเป๋าแล้ว...ก็ได้แค่มอง
เพราะต้องใช้หลายอย่าง ...ต้องเผื่อค่าหนังสือหนังหาด้วย
เลยได้แต่เก็บภาพวาติกันไว้เป็นที่ระลึก..

วันที่ฟ้าเปิด....
แต่ละวันท้องฟ้าก็แตกต่าง
อารมณ์ก็เปลี่ยนแปลง..
แต่วาติกัน ยังคงอยู่ มิได้ไปไหน
แต่สักวัน..ผมก็จะไม่อยู่..แต่ไม่รู้ว่าจะได้ไปไหน
ถ้าวันนั้นมาถึง..ก็อาจเสียดาย ที่มิได้ชื่นชมวาติกันอย่างถี่ถ้วน
เลยต้องขยันหามุม....ขยันมาเยี่ยมบ่อย ๆ
ไม่อยากมีคำว่าเสียดาย...








วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สะพาน ผ่านความทุกข์

"บางครั้งเราเต็มใจเป็นสะพาน ให้ใครบางคนก้าวข้าม
แต่ห้วงยามแห่งการเสียสละ กับห้วงยามแห่งการพลัดพราก
ก็มักจะเกิดขึ้นพร้อมกัน
ทั้งนี้เพราะสะพานย่อมมิใช่ที่อยู่ถาวรของผู้ใด"
เสกสรร ประเสริฐกุล



นานมาแล้ว เคยได้อ่านหนังสือ “พานพบไม่ผูกพัน” ของ เสกสรร ประเสริฐกุล
และยังคงประทับใจกับสำนวนการเขียนของท่าน
หนึ่งในเรื่องต่าง ๆ นั้น คือเรื่อง “สะพาน”

วันนี้ได้ค้นดูภาพเก่า ๆ ที่ถ่ายเก็บไว้
เห็นรูปถ่ายสะพานข้ามแม่น้ำไทเบอร์ หน้าวาติกัน
เลยถือโอกาสหยิบยกคำพูดของอาจารย์เสกสรร ประเสริฐกุล
มาประกอบภาพอันเนื่องมาจากฝีมือสมัครเล่นของผม


“สะพานย่อมมิใช่ที่อยู่ถาวรของผู้ใด”
คำกล่าวนี้ มีบางสิ่งแอบแฝงอยู่ลึก ๆ เป็นนัย

ภาพสะพานที่ผมได้นำมาให้ชมกันนั้น มีสองสะพานด้วยกัน
สะพานอันที่หนึ่งเป็นสะพานข้ามไปหาปิอาสซ่าซานเปโตร
สะพานอันที่สองเป็นสะพานข้ามไปยังปราสาทเทวดา

สะพานอันที่สองนี้ มีรูปปั้นเทวดาถือสัญลักษณ์แห่งมหาทรมานของพระเยซูเจ้า
เช่น แส้สำหรับเฆี่ยนนักโทษ เสาเฆี่ยน กางเขน มงกุฎหนาม ผ้าตราสัง หอก ฯลฯ
แต่ผู้คนที่สัญจรไปมา...ไม่รู้ว่าจะเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ต่าง ๆ นี้มากน้อยแค่ไหน



พระเยซูเจ้า ทรงเป็นคนกลางระหว่างมนุษย์กับพระบิดา
อาศัยธรรมล้ำลึกแห่งปัสกา (การทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับพระชนมชีพ)
ช่วยให้เราได้รอดพ้น
พระมหาทรมานของพระองค์ จึงเป็นเหมือนสะพาน
พระองค์ต้องก้าวผ่านความตาย ไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์
สะพานจึงมีไว้ก้าวผ่านไปสู่เป้าหมาย



“สะพานย่อมมิใช่ที่อยู่ถาวรของผู้ใด”
พระเยซูเจ้าก็ไม่ได้จมอยู่ในสะพานแห่งความทุกข์ทรมานแห่งความตาย
แต่พระองค์ทรงก้าวพ้น
และพระองค์ทรงเชื้อเชิญให้บรรดาศิษย์ของพระองค์ก้าวข้ามสะพานที่พระองค์ทรงผ่านมาแล้ว
สะพานของพระองค์แม้จะลำบาก แต่ทว่ามั่นคง และพาไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจน
สะพานของพระองค์ไม่สวยงาม แต่เมื่อผ่านมาได้จะพบสิ่งสวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ในโลกนี้


พระองค์ยอมเป็นสะพานให้เราก้าวข้าม
เพราะองค์รู้ว่า เมื่อได้ข้ามพ้นสะพานนั้นแล้ว...
รางวัลที่ยิ่งใหญ่...รอเราอยู่ที่นั่นเสมอ และนิจนิรันดร์




วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ได้เยือน..เหมือนที่ยิน



ที่นี่...ตรงนี้...ประทับใจ
ที่นี่...ที่ไหน...ไม่เหมือน
งดงาม...เอกลักษณ์...ร่างเรือน
ได้เยือน..เหมือนได้...ยินมา..

ดูโอโม่..มิลาโน่...

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

วาดจากโปสการ์ด

พอดีว่า มีน้องคนหนึ่ง..ช่วงฤดูร้อนเค้าไปทำงานที่เวโรน่า..
พอกลับมา...เขาได้ซื้อโปสการ์ดมาฝาก..
พอได้มา...ก็ลงมือวาดเลย...สวยทันใจ



ส่วนภาพนี้ ได้แบบจากอินเตอร์..
ที่นี่ประเทศไทยครับ..สวยเหมือนกัน



วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ทริปนี้...ที่มิลาน

ตอนแรกเลย...ว่าจะลงแค่รูป
พอตอนหลัง...คิดว่าน่าจะเขียนอะไรสักหน่อย เพราะไม่อยากจะปล่อยเลยผ่านไป

ช่วงเปิดเทอมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองมิลาน ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของอิตาลี
อันที่จริงไม่ใช่การไปเี่ที่ยว...แต่เป็นการเิดินทาง...เพื่อไปร่วมงาน ครบรอบ ๗ ปี แห่งศีลสมรสของหญิงไทยกับชายอิตาเลียน
โอกาสนี้ได้เดินทางไปพร้อมกับพระคุณเจ้าสิริพงษ์ จรัสศรี ด้วย

ท้าวความเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว
ตอนนั้นพระคุณเจ้ายังคงเป็นพระสงฆ์อยู่..กำลังศึกษาที่กรุงโรม
ท่านได้มาร่วมงานแต่งงานที่นี่...

ผ่านมาเจ็ดปี..ท่านได้มาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง..แต่มาในฐานะพระสังฆราช
คนที่นี่ดีใจและตื่นเ้ต้นกันพอสมควร...
ถึงขนาดมีนักข่าวท้องถิ่นมาขอสัมภาษณ์พระคุณเจ้า

เมื่อมาถึงมิลาน..ก็เย็นมากแล้ว..เราต้องนั่งรถไฟต่อไปอีกประมาณชั่วโมงหนึ่ง..เลยยังไม่ได้เห็นอะไรเลย..
เพราะต้องต่อรถอย่างรวดเร็ว..


เมื่อไปถึงซานจอร์โจ...(นักบุญยอช)..เจ้าภาพก็พาเราไปทานอาหาร...
วันนั้นอิ่มมาก..เพราะเจ้าภาพเลี้ยงเต็มที่่
หลังจากนั้นก็เข้าพัก ณ โรงแรมเล็ก ๆ แห่งหนึ่งใกล้วัดในหมู่บ้าน...














เช้าของวันต่อมา...ตื่นสายนิดหน่อย...ประมาณสิบโมง
มิสซาวันนี้เป็นวันอาทิตย์...และเป็นมิสซาโมทนาคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตสมรสเจ็ดปี
เราเริ่มมิสซากันอย่างเรียบง่าย..สบาย ๆ โดยได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นของพ่อเจ้าัวัด

หลังมิสซาทานข้าว มื้อใหญ่คล้าย ๆ กับเย็นเมื่อวานเลย...
หลังทานข้าวก็ชักภาพกันนิดหน่อย...


พอตกเย็น..นัดกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่งบริเวณใกล้ ๆ
แต่ก็ไม่ได้ไปเพราะสลบไสลบนเตียงนอน ตื่นมาอีกทีก็ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว

เช้าของอีกวันเป็นวันที่ต้องเดินทางกลับ
เราไปทำมิสซาที่บ้านพักคนชรา
โดยการนำของพ่อเจ้าวัดองค์เดิม...
หลังมิสซายายๆ ปู่ ๆ ดีใจกันมาก ทักทายจับมือพระสังฆราชกันใหญ่
เจ้าวัดให้ของขวัญเราคนละชิ้น เป็นรูปนักบุญยอช



ต่อมาเราก็เดินทางมาที่มิลาน...และได้เยี่ยมชมดูโอโม่...
ถ่ายรูปจนสะใจ...(อีกแล้ว)
แล้วก็ย้ายทัพมาเยี่ยมบ้านคณะกาปูชิน...


โดยการนำของพ่อเอกมัย..
พวกเราเิดินชมสถานที่
ภายในบริเวณวัด..
ก็ไม่พลาดที่จะถ่ายภาพศิลปะงาม ๆ มาฝาก




จากนั้นเราก็ไปที่เยี่ยมวัดที่มีร่างกายของนักบุญอัมโบรซีโอ....
วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ เรียบง่าย
แต่ด้านล่างพระแ่ท่น มีพระศพของท่านนักบุญ กับเพื่อนร่วมงานอีกสองท่าน

เสร็จแล้วเราก็มาที่สถานนีขนส่งเมืิิองมิลาน
เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ...



ด้วยความเหนื่อยอ่อน...
รถไฟเกิดความขัดข้อง...
ต้องจอดพัีกเป็นชั่วโมง..ๆ
แล้วใครจะรับผิดชอบกับเวลาที่เสียไป...
ส่วนเวลาของผมไม่ต้องห่วง...
เพราะมีคนรับผิดชอบไปแล้ว...
คือ ก๊วยเจ๋งกับแม่นางอึ้งย้ง....หนังซีรีย์ที่ผมแบกมากับคอมพิวเตอร์
ดีที่ในรถไฟมีปลั๊กเสียบ...ไม่งั้นคงแย่.....


จบ....

เนื้อหาและรูปภาพในบล็อกนี้ แม้จะไม่ใช่มืออาชีพ..แต่ถ้าจะนำไปใช้ในการอื่น ขอให้แจ้งเจ้าของบล็อกนิดนึงนะครับ
สงวนลิกขสิทธิ์ตามพ.ร.บ. ครับ...